ปกิณกธรรมเทศกาลสงกรานต์ วันจันทร์ที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๗ (ก่อนทำบุญช่วงเช้า)

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 29 เมษายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,057
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +26,031
    ปกิณกธรรมเทศกาลสงกรานต์ วันจันทร์ที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๗ (ก่อนทำบุญช่วงเช้า)


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 31.jpg
      31.jpg
      ขนาดไฟล์:
      234 KB
      เปิดดู:
      19
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2024 at 19:00
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,057
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +26,031
    วันนี้เป็นวันจันทร์ มีใครป่วยเป็นโรควันจันทร์ไหม ? พอถึงวันจันทร์แล้วอยากจะ "เลื้อย" ไม่อยากทำงาน โรควันจันทร์นี่พวกข้าราชการเขาเป็นกันบ่อย ส่วนโรควันศุกร์ พอหลังเที่ยงก็เริ่มกระวนกระวาย หงุดหงิด นั่งไม่ติด จะกลับบ้านให้ได้ สรุปก็คือวันศุกร์กลับให้เร็วที่สุด วันจันทร์ไปให้ช้าที่สุด..!

    แล้วก็เป็นเรื่องแปลกตรงที่ว่า วันไหนที่เราไปทำงานเร็วเจ้านายจะยังไม่มา วันไหนที่เราไปช้า เจ้านายมานั่งรอก่อนทุกที..! ถ้าใครเจอแบบนี้บ่อย ๆ ก็โปรดรู้ว่าอนาคตกำลังจะแย่แล้ว

    เรื่องของงานเป็นหน้าที่ ภาษาบาลีเรียกว่าภาระ แปลว่าสิ่งที่หนัก ภาราหะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ ๕ นี้เป็นภาระอันหนักยิ่งหนอ ในเมื่อบาลีเรียกว่าภาระ ก็แปลว่าเป็นสิ่งหนักที่เราต้องแบกต้องหามไป คราวนี้พอเราแบกเราหามไป ถ้าเป็นไปตามปกติก็ยังพอทน

    แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยปกติ ที่ว่าไม่ค่อยปกติก็คือ เรามักจะไปเอาสิ่งที่เกินภาระเข้ามา ก็คือโดยสภาพร่างกายของมนุษย์และสัตว์ทั่ว ๆ ไป สิ่งที่ต้องการก็คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค แต่เราก็ไปหาอย่างอื่นมาเพิ่ม อย่างเช่นว่าต้องมีโทรศัพท์มือถือ ต้องมีรถยนต์ แล้วแต่ละอย่างเป็นอย่างไร..? ก็ต้องหาเงินมาซื้อ..กลายเป็นภาระ

    มีข้อความส่งมาทางไลน์ว่า
    ครูคนที่ ๑ สอนให้เราเป็นคนดี คือแม่
    ครูคนที่ ๒ สอนให้เราเป็นคนเก่ง คือพ่อ
    ครูคนที่ ๓ สอนให้เราอ่านออกเขียนได้ คือครูที่โรงเรียน
    ครูคนที่ ๔ สอนให้เราใช้ชีวิตอยู่ในสังคม คือเพื่อน
    ครูคนที่ ๕ สอนให้เราใช้ชีวิตร่วม คือคู่ครอง
    ครูคนที่ ๖ สอนให้รู้จักการให้ คือลูก
    ครูคนที่ ๗ สอนให้รู้จักคำว่าอภัย คือศัตรู
    ครูคนสุดท้าย สอนให้เราเรียนรู้ชีวิต คือตัวเอง


    อย่างน้อย ๆ ไม่ส่ง "สวัสดีวันจันทร์" มาอย่างเดียวก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นก็มีแต่สวัสดีวันจันทร์..น่าเบื่อหน่ายมาก..!

    ตอนนี้มีรายการอบรมเพิ่มความรู้ทุกวันศุกร์ มีรายการปฏิบัติธรรมทุกวันอาทิตย์ พระอาจารย์เล็กต้องบรรลุสักวันหนึ่งแน่ ๆ งานเยอะเป็นบ้าเลย..! ที่รู้อยู่คนอื่นเขาก็รู้ไม่เท่า แล้วยังต้องมาเพิ่มความรู้อยู่อีก นี่ต้องอบรมเพิ่มอีก ๑๖ อาทิตย์..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,057
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +26,031
    เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ตอนเทศน์บอกศักราชผิด คือบอกเดือนผิดเป็นเดือนสี่ ลืมไปว่าสงกรานต์เป็นเดือนห้า ก็คือเดือนทางภาษาบาลีเขาจะมี

    มิคะสิระมาสัสสะ คือ เดือนอ้าย
    ปุสสะมาสัสสะ คือ เดือนยี่
    มาฆะมาสัสสะ คือ เดือนสาม
    ผัคคุณะมาสัสสะ คือ เดือนสี่
    จิตตะมาสัสสะ คือ เดือนห้า
    วิสาขะมาสัสสะ คือ เดือนหก
    เชฏฐะมาสัสสะ คือ เดือนเจ็ด
    อาสาฬหะมาสัสสะ คือ เดือนแปด
    สาวะนะมาสัสสะ คือ เดือนเก้า
    โปฏฐะปะทะมาสัสสะ หรือ ภัททะปะทะมาสัสสะ คือ เดือนสิบ
    อัสสะยุชะมาสัสสะ คือ เดือนสิบเอ็ด
    กัตติกะมาสัสสะ คือ เดือนสิบสอง

    วันก่อนบอกผิด แทนที่จะเป็น จิตตะมาสัสสะ เดือนห้า ดันไปบอกเป็น ผัคคุณะมาสัสสะ คือ เดือนสี่

    เรื่องของภาษาบาลีในส่วนของการบอกศักราชก็เพื่อไม่ให้พวกเราประมาท จะได้รู้ว่าอายุพระพุทธศาสนาล่วงพ้นไปแล้วเท่าไร เราเหลือเวลาในการทำความดีน้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้ว ทุกอย่างที่โบราณทำเอาไว้ ก็เพื่อให้เรามีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม

    คราวนี้เราจะก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมได้ก็ต้องเป็นผู้ไม่ประมาท บาลีท่านใช้คำว่า ผู้มีราตรีอันเจริญ รติวัฑฒโน คำว่า ผู้มีราตรีอันเจริญ ก็คือไม่เห็นแก่นอน เน้นในการปฏิบัติธรรมมากกว่า
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,057
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +26,031
    แบบเดียวกับใน ภัทเทกรัตตสูตร ที่ท่านสอนว่า อะตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง อย่ามัวแต่ไปกังวลหวนถึงอดีต อย่าไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ เราต้องอยู่กับปัจจุบันนี้เท่านั้น ถึงจะรู้แจ้งได้

    อดีตเปรียบเหมือนอย่างกับรถที่ออกจากท่าไปแล้ว หรือเครื่องบินที่บินไปแล้ว Take off ไปแล้ว แล้วเราจะไปขึ้นอย่างไร..? คำว่า Take off นี่ประหลาดมาก ก็ในเมื่อ off แล้ว จะขึ้นได้อย่างไร ? ทำไมไม่ใช้ว่า Take on ? ก็พอ ๆ กับคำว่า Shut up ที่ให้หุบปาก ทำไมไม่ใช้ว่า Shut down ? อาตมาเป็นคนขี้สงสัย ถ้าใครคุยด้วยนี่ปวดหัวตายเลย..!

    ส่วนอนาคตเป็นเครื่องบินที่ยังไม่มาจอดในลานเลย "เรียนท่านผู้มีเกียรติทราบ ขณะนี้ทางสายการบิน..ขออภัยต่อผู้โดยสารที่ต้องเรียนแจ้งว่า เครื่องจากกรุงเทพมหานครยังมาไม่ถึง" ก็บอกตรง ๆ ไปสิว่าเลื่อนกี่ชั่วโมง..! ในเมื่อยังมาไม่ถึงเราก็ขึ้นไม่ได้

    แปลว่าอดีตก็ไม่มีประโยชน์ ไปหวนหาอะไรอยู่ อนาคตก็ไม่มีประโยชน์เพราะยังมาไม่ถึง คิดไปก็ฟุ้งเปล่า ๆ ก็เหลือแต่ตอนนี้ เครื่องบินเที่ยวที่อยู่ตรงหน้าเรานี่ ขึ้นให้ทัน ซื้อตั๋วหรือยัง ? เช็คอินเรียบร้อยไหม ? ฝากกระเป๋าเรียบร้อยไหม ? ที่แน่ ๆ ก็คือเดินไปถึงประตูขึ้นเครื่องทันไหม ?

    อาตมภาพเคยตาลีตาเหลือกสุดชีวิตอยู่ครั้งหนึ่ง ตื่นขึ้นมาก็ตั้งหน้าตั้งตา "โม่" วิทยานิพนธ์ปริญญาโท หันไปดูนาฬิกา ตายห่..อีก ๒๐ นาทีจะ ๖ โมง จะต้องขึ้นเครื่อง ๖ โมงเช้าเพื่อลงไปหาดใหญ่ คว้าสังฆาฏิ อังสะ สบงสำรองได้ โยนลงกระเป๋า ห่มคลุม แล้วเผ่นพรวดออกจากบ้าน โบกแท็กซี่ "ไปให้ถึงสนามบินดอนเมืองภายใน ๒๐ นาที..!" แท็กซี่ก็โกยสุดชีวิตเหมือนกัน เหยียบกระจายเลย..!

    ไปถึงสนามบินดอนเมือง ๐๕.๕๕ น. ค่ารถ ๒๖๗ บาท ให้ไป ๔๐๐ บาทเลย วิ่งไปเช็คอิน เจ้าหน้าที่บอกว่า "ไม่ต้องค่ะ นิมนต์ขึ้นรถเลย" เขาเอารถกอล์ฟมาจอดรอ..เหลือมึงคนเดียวแหละ..! งานนั้นทำวิทยานิพนธ์เพลิน พอคิดออกว่าจะเขียนอะไรก็พิมพ์ไปเรื่อย ลืมไปว่าต้องไปขึ้นเครื่อง..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,057
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +26,031
    เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่อับอายขายหน้าชาวบ้านเขา เพราะว่าขึ้นเครื่องไปนี่สายตาทุกสายตามองมา เพราะเหลือเราอยู่คนเดียว ไม่ได้อยากดังหรอก แต่แหม..ตอนนั้นแสงตกลงมาเต็มตัวเลย ไม่หิวแสงก็ต้องแสงตกเพราะเหลืออยู่คนเดียว..! ใครเคยเจอประสบการณ์แบบนี้บ้าง..? แต่พวกเราถ้าเจอก็คือนอนเพลิน ไม่ใช่ทำงานเพลินหรอก นอนเพลิน..ไม่ตื่น..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ในเรื่องของอดีตเลยมาแล้ว ไปหวนหาอาลัยก็ไร้ประโยชน์ อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ฟุ้งซ่านไปก็บ้าเปล่า ๆ ก็ต้องตอนนี้เดี๋ยวนี้ ทำอย่างไรจะหยุดใจของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก หลุดจากตรงนี้เมื่อไร ฟุ้งซ่านเมื่อนั้น แล้วถ้าฟุ้งเมื่อไร เอากลับยากสุด ๆ

    หลายคนมีประสบการณ์ปฏิบัติธรรม จิตใจสงบ โอ๊ย..เหมือนเทวดานางฟ้า จะเหาะจะบิน เดินไปยิ้มไป ไม่รู้จะยิ้มกับใครยิ้มกับหมูกับหมาก็เอา เผลอหน่อยเดียว ไม่รู้สภาพจิตไปคว้าเอากิเลสเข้ามาตอนไหน โอ้โห..รัก โลภ โกรธ หลง มาฟ้าถล่มดินทลายเลย จากเทวดานางฟ้าตกลงมาแย่กว่าหมาตั้งเยอะ..!

    แล้วก็เป็นเรื่องแปลก รีบตะเกียกตะกายเพื่อจะกลับที่เดิม แต่กลับไม่ได้..! ถามว่าทำไมถึงกลับไม่ได้ ? กลับไม่ได้เพราะว่าเราอยากกลับ เรื่องของการปฏิบัติธรรมต้องไม่อยาก อยากเมื่อไรจะไม่ได้

    อาตมาเองหกล้มหกลุกวันหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันครั้งมาตั้งแต่วัยรุ่น อายุยังไม่ทันจะยี่สิบ ก็ปฏิบัติธรรมจนคนรอบข้างเขาว่าบ้ากันหมด พอหกล้มหกลุกบ่อย ๆ คราวนี้ไม่ยอมแพ้ ยังไงก็ต้องสู้จนกว่าจะชนะ แต่นิสัยอย่างนี้ไม่ค่อยดีนะ เขาเรียกว่าคนแพ้ไม่เป็น

    วันไหนฟุ้งซ่านมาก ๆ ภาวนาไม่ได้เลย มีแต่ รัก โลภ โกรธ หลง เต็มหัวไปหมด อยากจะฆ่าคนขึ้นมาด้วย ต้องการความสงบหน่อย..ไอ้โน่นก็ก๊อก..ไอ้นี่ก็แก๊ก โน่นเลย..ไปนั่งหน้าพระประธานองค์ใหญ่ ๆ อย่างองค์ข้างหลังอาตมานี่แหละ..นั่งมองพระ..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,057
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +26,031
    ถามว่านั่งมองทำไม..? ก็จะดื้อนั่งอยู่ตรงนี้มีปัญหาไหม..? "ในเมื่อมึงฟุ้งมาก ๆ ไม่ยอมภาวนา กูก็จะนั่งอยู่ตรงนี้ ดูซิว่ามึงจะทำอะไรได้..? มึงชวนให้กูด่าคน กูก็ไม่ด่า มึงชวนให้กูไล่เตะไล่ตีคน กูก็ไม่ไป กูจะนั่งอยู่ตรงนี้แหละ..!" อย่างน้อย ๆ ใจคิดชั่วได้ แต่วาจาไม่พูด กายไม่ทำ เราก็ชนะไป ๒ ใน ๓ แล้ว ให้รู้ไปว่าใครจะหน้าด้านไปกว่ากัน..!

    โยมคงไม่โดนหนักขนาดนี้หรอก แต่อาตมาเป็นคนดื้อ ต้องโดนหนัก แล้วก็ทั้งดื้อทั้งหน้าด้าน โดนเท่าไรก็ไม่ถอย ตอนนั้นความสามารถอะไรใช้ไม่ได้หมด เพราะใจฟุ้งซ่าน จะเป็นอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ปัจจุปปันนังสญาณ อะไรไม่ได้ทั้งนั้น ไม่เอาด้วยเลย เพราะถ้าทำได้ก็แปลว่าเราต้องทรงสมาธิได้ แต่นี่สมาธิแตกกระจายหมด ก็นั่งอยู่ตรงนี้แหละ..!

    "กูจะนั่งอยู่ตรงหน้าพระพุทธเจ้านี่แหละ มึงแน่จริง มึงลากกูไปให้ได้สิ..!" ในที่สุดกิเลสก็กลัวคนบ้า ก็คือพอเราไม่ไปไหนจริง ๆ ท้ายที่สุดก็ค่อย ๆ เบาลง..เบาลง..เบาลง..แล้วก็ยอมสงบ ผ่านไปครึ่งค่อนวันหงายหลังผลึ่งได้ สลบไปเป็นวันเลย..!

    ไม่ได้นึกเลยว่าการที่เราดื้อสู้กับกิเลสจะเหนื่อยขนาดนี้ ก็คือกูไม่ไป..มึงลากกูไปให้ได้สิ..! หงายหลังลงไปสลบไสลเลย รุ่งขึ้นฟื้นขึ้นมาใจเพลียเต็มที ฟุ้งไม่ไหวแล้ว อ้าว..ยอมภาวนาแล้ว ก็รีบตะกายกลับทันที

    เพราะฉะนั้น..
    หลายคนเจอประสบการณ์นี้ เปลี่ยนจากเทวดานางฟ้าลงไปแย่กว่าอีก..!ให้พยายามสู้หน่อยนะ ถ้าไม่สู้ไม่ได้กลับที่เดิมหรอก มีแต่จะลงลึกไปเรื่อย..!

    ประสบการณ์พวกนี้ครูบาอาจารย์ท่านโดนมาแล้วทั้งนั้น กว่าจะมานั่งสอนคนอื่นได้ เปรียบตัวเองเป็นนักรบก็ลงสนามมาบาดแผลนับไม่ถ้วน เปิดเสื้อให้ดูไม่รู้แผลอยู่ตรงไหนบ้าง เย็บกันจนเข็มหลง


    ไม่ใช่ว่าครูบาอาจารย์เกิดมาก็เป็นเด็กดีเหลือเกิน ถึงเวลาก็ "แม่ครับ..ผมอยากจะใส่บาตร" "แม่ครับ..ช่วยพาไปวัดหน่อย" ไม่มีหรอก..! โน่น..รู้ตัวอย่างแรกแทนที่จะถือขันข้าวใส่บาตร..เปล่า..ถือเบ็ดตกปลา ถือหนังสติ๊กไล่ยิงนก..เจริญ..! ไม่ใช่บริสุทธิ์ออกมาจากท้องแม่หรอก ก็ชั่วมาก่อนกันทั้งนั้น..!

    ได้ยินหลวงพ่อเล่าแล้วสบายใจขึ้นเยอะเลย ที่แท้ก็ชั่วเหมือนกัน..ใช่ไหม..? อุตส่าห์หลงนึกว่าหลวงพ่อจะเป็นคนดี ไม่มีใครเขาดีมาตั้งแต่ท้องแม่หรอก ต้องมาตะเกียกตะกายหาดีเองทั้งนั้นแหละ ลองไปดูที่ท้ายรถสิบล้อสิ เขียนเอาไว้ชัด ๆ ว่า "ความดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ให้ทำเอง..!"
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,057
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +26,031
    ตอนนี้ทางด้านเทศบาลตำบลทองผาภูมิโดยท่านนายกฯ ปาล์ม (นายศราวุธ ศรีทันดร) ให้เจ้าหน้าที่มานำเอาหลวงพ่อทองคำองค์ใช้งานจริงไปขึ้นรถ เพื่อที่จะได้จัดเป็นขบวนแห่ ให้ผู้คนได้สรงน้ำกัน

    การที่พวกเราใส่บาตร ก็คือการที่เราแบ่งปันอาหาร สงเคราะห์ต่อพระภิกษุสงฆ์ ท่านได้ขบฉันแล้วมีกำลังในการศึกษาพระธรรมวินัย ถ้าหากบรรลุมรรคบรรลุผลได้ ก็จะได้มาบอกทางที่ง่ายที่สุดให้กับเรา

    สมัยนี้เขาบอกว่าไปซื้อคอร์ส ๒๕,๐๐๐ บาท สอนยันพระอรหันต์เลย เก่งว่ะ..! เห็นหลายต่อหลายคนเข้าไปคอมเมนต์ด่ากระจาย บอกว่า "พระพุทธเจ้าสอนฟรี มึงมาถึงเก็บค่าสอน ๒๕,๐๐๐ บาท..!" แต่อาตมาว่า "สองล้านห้ากูก็ให้ ถ้าสอนให้เป็นพระอรหันต์ได้ในชาตินี้..!" อากาศร้อน คนเราก็เลยมีการแสดงออกที่แปลก ๆ หน่อย เพราะฉะนั้น..ก็อย่าไปเอาอะไรมากมายกับชีวิต

    การใส่บาตรต้องตั้งใจให้ถูก คำว่าตั้งใจให้ถูกในที่นี้ก็คือ ตั้งใจเป็นสังฆทาน ถ้าใส่บาตรที่นี่ไม่ต้องห่วง เพราะว่าวัดท่าขนุนถึงเวลาก็เอาไปเทรวมกัน แล้วก็จัดลงสำรับใหม่ เป็นสังฆทานแน่นอน แต่ถ้าไปตั้งใจเป็นสังฆทานที่วัดอื่น อาจจะพาท่านซวย เพราะว่าหลายวัดต่างคนต่างบิณฑบาต ต่างคนต่างฉัน

    ญาติโยมจากกรุงเทพฯ พอมาถึงเห็นพระวัดท่าขนุนเดินแถวยาวเหยียดบิณฑบาต โอ๊ย..ขอถ่ายรูปกันใหญ่ บางรายกลัวถ่ายไม่ทัน ""นิมนต์หยุดก่อนเจ้าค่ะ" นึกว่าจะใส่บาตร ที่ไหนได้..ให้หยุดเพื่อถ่ายรูป..!

    ก็เพราะว่าในกรุงเทพฯ ไม่มีภาพอย่างนี้ให้เห็น เดินกันหนึ่งรูป สองรูป สามรูป กระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง ทำไมอะไรดี ๆ ของโบราณไม่รักษากันไว้ ถ้าเกิดทันรุ่นเก่า ๆ จะได้ยินเพลงเขาว่า ""เหลือง ๆ เรืองรองลิบลิ่ว สงฆ์เดินเป็นทิวเหยียดยาวดูน่ามอง ห่มจีวรเหลืองปลั่งดังสีทอง โปรดสัตว์ทั้งผองตามรอยพุทธองค์"

    เกิดไม่ทัน ไม่เคยได้ยินใช่ไหม..? แค่ภาพที่ปรากฏออกไป กำลังใจของคนนึกถึงพระ ก็ได้กุศลมหาศาลแล้ว เพราะสภาพจิตของเรารับรู้ว่านั่นคือพระสงฆ์ หนึ่งในพระรัตนตรัย ต่อให้ท่านไม่มีคุณงามความดีอะไรเลย รูปแบบของท่านก็คือพระสงฆ์ เป็นสังฆานุสติให้เราระลึกถึงว่า พระสงฆ์ทรงคุณงามความดีอะไรบ้าง

    ภาษาบาลีพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในมังคลสูตรว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ เอตัมมังคะละมุตตะมัง การได้เห็นสมณะก็คือพระสงฆ์ จัดว่าเป็นมงคลสูงสุดอย่างหนึ่ง เพราะทันทีที่เราเห็น สภาพจิตถ้ายึดเกาะ ตายตอนนั้นก็ไปดีเลย ถึงได้เรียกว่าภาพที่เป็นมงคล
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,057
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +26,031
    ภาพที่เป็นมงคลคือได้เห็นพระพุทธเจ้า ได้เห็นพระธรรม พระธรรมคืออะไร ? ปัจจุบันนี้สัญลักษณ์ของพระธรรมก็คือธรรมจักร บางคนไม่เอาอะไรมากเอาคัมภีร์เทศน์เลย สมัยที่อาตมภาพฝึกธัมมานุสติกรรมฐาน

    หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านบอก "เฮ้ย..ทำถึงสมาบัติ ๘ ได้"
    อาตมาก็งง "สมาบัติ ๘ ต้องอาศัยกสิณนี่ครับหลวงพ่อ ?"
    หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า "ก็กสิณสิวะ..!"

    อาตมาสงสัยต่อ "แล้วในเมื่อต้องอาศัยกสิณ แล้วธัมมานุสติจะไปถึงสมาบัติ ๘ แบบไหนครับ ?"
    ท่านบอกว่า "มึงก็อย่าโง่สิ เราก็นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าว่ากำลังแสดงพระธรรมเทศนา ธรรมะที่พระองค์ท่านแสดง เปรียบเหมือนดอกมะลิแก้ว ล่องลอยจากพระโอษฐ์ลงมาเป็นสาย ๆ"

    อาตมาถามต่อ "แล้วดอกมะลิแก้วจะลอยไปไหนละครับ ?"
    หลวงพ่อตอบว่า "ก็กำหนดใจให้มีพานสักใบหนึ่งรองรับไว้สิวะ กำหนดใจนึกถึงพานทองรองรับมะลิแก้วที่ลอยลงมา แล้วจับภาพนั้นเอาไว้ จดจำไว้ด้วย แล้วก็ทำต่อไป ก็เท่ากับเป็นกสิณอยู่แล้ว"

    อาตมาโง่ไปหน่อยทำไม่เป็น ต่อมาไล่ไปไล่มาทำอนุสติ ๑๐ อย่างจนครบ

    อานาปานสติ ระลึกถึงลมหายใจเข้าออก
    พุทธานุสติ นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า
    ธัมมานุสติ นึกถึงคุณพระธรรม
    สังฆานุสติ นึกถึงคุณพระสงฆ์
    สีลานุสติ นึกถึงคุณของศีล
    จาคานุสติ ระลึกถึงการบริจาคให้ทานว่าดีอย่างไร
    เทวตานุสติ นึกถึงความดีของพรหมเทวดา
    กายคตานุสติ นึกถึงความเป็นจริงในร่างกาย
    มรณานุสติ นึกถึงว่าเรามีความตายเป็นปกติ
    อุปสมานุสติ ระลึกถึงความสงบระงับในพระนิพพาน

    ซักซ้อมทุกวัน เช้าสายบ่ายค่ำไม่ยอมเลิก ทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไปกราบรายงานหลวงพ่อท่าน "หลวงพ่อครับ เดี๋ยวนี้อนุสติ ๑๐ ผมไล่อารมณ์เต็มได้ภายใน ๓๐ นาทีเท่านั้นครับ" ภูมิใจมาก รีบไปอวดครูบาอาจารย์
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,057
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +26,031
    ท่านบอกว่า "ใช้ไม่ได้ลูก สมัยที่พ่อทำกรรมฐาน ๔๐ กอง ถ้าต้องใช้เวลาถึง ๒ นาทีนี่แย่มากแล้ว" อาตมานั่งเหี่ยวอยู่ตรงนั้น ถ้าเป็นสมัยนี้เด็กจะบอกว่า "หลวงพ่อ "ขิง" กูแหงเลย..!" ได้ ๑๐ กองในครึ่งชั่วโมง..กูว่ากูเก่งโคตรแล้วนะ หลวงพ่อบอก ๔๐ กองไม่ถึง ๒ นาที ขิงข่าตะไคร้มาครบทั้งสวนเลย..!

    มาเข้าใจทีหลัง อ๋อ..ที่แท้เราโง่เอง ครูบาอาจารย์ท่านพูดถูก ก็เรามันโง่ พอถึงเวลาก็ถอยหลังมา ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐ แล้วเริ่มต้นใหม่ ถอยหลังมา ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐ เริ่มต้นจากหนึ่งใหม่ทุกครั้ง..เหนื่อยตายห่..!

    แต่หลวงพ่อท่านให้ทรงอารมณ์เต็ม แล้วก็เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนกองกรรมฐานแค่นั้นเอง โอ๊ย..๔๐ กองแค่นาทีเดียวก็ได้แล้ว ไม่ใช่ ๒ นาทีหรอก ใช้เวลาไม่ถึง ๒ นาทีหรอก รักษาอารมณ์สูงสุดไว้แล้วเปลี่ยนกองกรรมฐาน..แค่นั้นเอง แผล็บ ๆ ๆ หมดแล้ว ๔๐ กอง..! แต่ตอนที่ทำไม่ได้ นึกว่าหลวงพ่อท่าน "ขิง" แต่อันนี้ไม่ใช่
    "ขิง" เรื่องจริงเลย อันนี้ก็ไม่มีขาย อยากได้ให้ทำเอง..!

    บอกแล้วว่าครูบาอาจารย์กว่าจะมานั่งเป็นครูบาอาจารย์ได้นี่ หกล้มหกลุกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว บอกแล้วว่าแผลทั้งตัว บางทีจะถึงยอดเขาเอเวอเรสต์อยู่แล้ว แต่ดันกลิ้งไปอยู่ตีนเขาโน่น..! ไม่ต้องห่วงหรอกว่าจะชอกช้ำระกำใจขนาดไหน โมโหแทบจะเอาหัวโขกฝา "กูพลาดตรงไหนวะ ? มาซะขนาดนี้ดันพลาดอีกแล้ว..!"

    กว่าจะจับจุดได้ว่าไปเผลอปล่อยให้ขาดช่วงไม่ต่อเนื่อง พวกเราส่วนใหญ่ทำแล้วทิ้งกัน..เจริญมากเลย..! นั่นแหละ..ทุกวันนี้ที่ก้าวหน้าไม่ได้ ก็เพราะปล่อยให้ขาดช่วงลง เรื่องของการปฏิบัติธรรมพอทำได้แล้วต้องรักษาเอาไว้ ใหม่ ๆ แค่ขยับตัวจะกราบพระก็หลุดหายหมดแล้ว ต้องตั้งสติให้มั่นคง เอาจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราทำ อย่าให้หลุดไปไหน มั่นใจว่าไม่หลุดแล้วค่อยขยับ ใหม่ ๆ ได้สักหนึ่งนาทีก็เก่งมากแล้ว
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,057
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +26,031
    แต่หลังจากที่พยายามประคับประคองไปเรื่อยก็จะได้นานขึ้นเป็น ๒ นาที ๓ นาที ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง ไล่ไปเรื่อย พอได้เป็นวัน โอ๊ย..มีความสุขมากเลย ยิ้มหน่อยเดียว..กลิ้งเป็นหมาอีกแล้ว..!

    เรื่องปฏิบัติธรรมสนุกอย่าบอกใคร สนุกดีตรงที่ว่าหกล้มหกลุกเป็นประจำ อนาถชีวิตมาก..! ต้องสู้อย่างเดียว ถอยไม่ได้ ที่หลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าท่านบอกว่า "ธรรมะอยู่ฟากตาย" ให้พยายามสู้

    แต่ถ้าสู้แบบโง่ ๆ ก็ตายฟรี อาตมานี่ตายฟรีมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว หลวงปู่ฝั้นท่านบอกว่า "สู้เข้าไปลูก เอาให้มันตายกันไปข้างหนึ่ง" อาตมาก็สงสัยว่า "ทำไมเราตายฝ่ายเดียววะ กิเลสมันไม่ตายสักที..?" กว่าจะรู้ว่าสู้ผิดก็หลงไปเสียนาน

    ครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่ได้เมตตาบอกเราทุกเรื่อง ท่านต้องการให้เราได้ประสบการณ์ จะได้จดจำนาน ถ้าไปบอกก็ง่ายเกิน แล้วไม่ค่อยจะจำกัน แต่ถ้าหกล้มหัวร้างคางแตก เย็บไปทั้งตัว นั่นค่อยจะจำ เขาเรียกว่าเข็ด ในเมื่อเข็ดแล้วคราวนี้ก็จะระวังไม่ให้เจ็บอีก

    ของพวกเราส่วนใหญ่พอถึงเวลาแล้วไม่เข็ด เบื่อ ๆ อยาก ๆ วันนี้ "โอ๊ย เดี๋ยวกูโกนหัวเข้าวัด บวชชีเลย เบื่อเต็มทีแล้ว..!" พอถึงเวลาหายเบื่อก็ "เอ้า..อยู่ต่ออีกหน่อย" อยู่ไปอยู่มา อยู่จนจะแก่ตายอยู่แล้ว..! หลวงพ่ออย่าพูดความจริงสิ..หนูเขิน..!

    ในเรื่องของความคิดที่เป็นกุศล ถ้าหากว่าเข้ามาตอนนั้น แปลว่ากำลังบุญหนุนเสริมเราแล้ว ถ้าจะทำอะไรที่ดี ๆ อย่างที่คิด ต้องลงมือเลย อย่าไปเปิดโอกาสให้กิเลสเชียวนะ เพราะว่าแต่ละรอบของบุญกุศลนั้น ช้าเร็วไม่เท่ากัน

    เราลองนึกถึงล้อรถ ล้อของรถสิบล้อใหญ่แค่ไหน ? แล้วล้อของจักรยานสามล้อของเด็กเล่นเล็กแค่ไหน ? ล้อของสามล้อเด็กเล่นนี่หมุนแป๊บเดียวก็ครบรอบแล้ว กุศลรอบใหม่ก็มา แต่ถ้าไปเจอล้อรถไถแถมเป็นล้อหลังด้วยก็โน่นเลย ในขณะที่ล้อรถสามล้อเด็กเล่นหมุนไปเป็นร้อยรอบแล้ว ล้อหลังรถไถยังหมุนไม่ถึงครึ่งรอบเลย..!
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...