บทความให้กำลังใจ(เสียได้เสียไป ใจไม่ทุกข์)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    ยาวิเศษ
    พระไพศาล วิสาโล
    ในฐานะพยาบาล เกื้อจิตร แขรัมย์ ตระหนักดีว่ากายกับใจนั้นเกี่ยวข้องกับมาก ดังนั้นผู้ป่วยทุกคนที่เธอดูแลนอกเหนือจากการเยียวยาร่างกายแล้ว เธอยังให้ความสำคัญกับจิตใจของเขาด้วย ประสบการณ์อันยาวนานทำให้เธอจัดเจนในการดูแลรักษาใจของผู้ป่วย จนเพื่อน ๆ ในโรงพยาบาลบุรีรัมย์มักขอความช่วยเหลือจากเธอเสมอ

    เด็กชายคนหนึ่งอายุ ๑๑ ปี เป็นโรคปวดหัวตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ แม่พาไปรักษาหลายโรงพยาบาล หมดเงินไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ตอนที่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์นั้น นอกจากปวดหัวอย่างหนักจนอาเจียนแล้ว เด็กยังมีอาการตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน

    หมอสันนิษฐานว่าเด็กมีเนื้องอกในสมอง จึงส่งตรวจซีทีสแกน แต่ไม่พบความผิดปกติ หมอจึงคิดว่าเด็กอาจมีปัญหาทางจิต แต่ก่อนที่หมอจะส่งเด็กไปหาหมอจิตเวช พยาบาลที่เห็นเหตุการณ์ได้ขอให้เกื้อจิตรมาดูผู้ป่วยรายนี้ เพราะเกรงว่าถ้าเด็กได้รับยาจากหมอจิตเวช อาจจะมึนงงจนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง

    เมื่อเกื้อจิตรไปถึง แม่เด็กเฝ้าแต่ถามว่าลูกเธอจะหายไหม เกื้อจิตรดูอาการของเด็กแล้วถามแม่ว่ามีลูกกี่คน แม่เด็กตอบว่ามีสี่คน “คนโตเรียนมหาวิทยาลัย หน้าตาดี เรียนเก่ง คนที่สองอยู่ม.๕ เรียนเก่ง คนที่สามคือเขานี้แหละ ส่วนคนที่สี่เป็นผู้หญิงอยู่ป.๒ อายุ ๘ ขวบ”
    “รักลูกเท่ากันไหม” เกื้อจิตรถาม “รักเท่ากันเลย” คือคำตอบ
    “ลูกสี่คน ถ้ารักลูกเท่ากัน ด่าเท่ากันไหม”
    “ไม่เท่ากัน ฉันด่าเจ้าคนป่วยนี้แหละมากที่สุด ทั้งด่าทั้งตี” แม่เด็กยังพูดต่อว่า “มันดื้อค่ะ มีวันหนึ่งฉันด่ามัน ไล่มัน มึงไปพ้น ๆ กู”
    “เคยบอกรักลูกคนนี้ไหม”
    “ไม่เคยซักที ไม่เคยบอกรักลูก....มีแต่ด่ากับตี” เธอยังเล่าต่อว่า “ลูกชายคนนี้โง่มาก ไปโรงเรียนครูก็ด่าว่าควาย ทำไมแกไม่เก่งเหมือนพี่เหมือนน้องแกบ้าง”

    คุยไปสักพัก เกื้อจิตรก็ย้อนถามถึงประวัติของแม่เด็ก ซักไปได้หน่อย แม่เด็กก็ร้องไห้ แล้วยอมรับว่า พ่อแม่ไม่ค่อยรักเธอเท่าไหร่ เพราะชอบดุด่าเธอ ถึงตรงนี้เธอก็ได้คิดว่า เธอทำกับลูกชายคนนี้เหมือนกับที่พ่อแม่ของเธอทำกับเธอตอนเด็ก ๆ

    มาถึงตรงนี้เกื้อจิตรจึงบอกว่ามี “ยาวิเศษ” ที่จะช่วยลูกของเธอได้ นั่นคือ “ให้เธอกลับไปกอดลูก แล้วบอกว่าแม่รักลูกนะ” รวมทั้งบอกตายายที่บ้านด้วยว่า ให้ทำอย่างเดียวกัน เท่านั้นไม่พอเกื้อจิตรยังแนะนำให้ไปบอกครูที่โรงเรียนว่า อย่าดุด่าหรือตีเด็กคนนี้อีก “ไปบอกเลยว่าหมอเกื้อโรงพยาบาลบุรีรัมย์สั่งมา ถ้าไม่กล้าพูด เดี๋ยวฉันจะไปพูดให้”

    หนึ่งเดือนต่อมา เกื้อจิตรตามไปดูเด็ก ปรากฏว่าเด็กไม่มีอาการปวดหัวอีกเลย ปัจจุบันอายุ ๒๐ ปี รูปร่างสูงใหญ่ สุขภาพเป็นปกติ

    เป็นเพราะขาดความรัก ถูกต่อว่าจากคนรอบข้างเป็นประจำ เด็กจึงรู้สึกว่าตนไร้คุณค่า ส่งผลให้อมทุกข์และเครียดหนักจนปวดหัวเรื้อรัง กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นเพราะป่วยใจ กายจึงป่วย ไม่ว่ารักษากายอย่างไร ก็ไม่หายป่วย ต่อเมื่อใจได้รับการเยียวยาด้วยความรัก กายจึงกลับมาเป็นปกติ

    ความรักนั้นเป็น “ยาวิเศษ” ใครที่ป่วยเรื้อรังทั้ง ๆ ที่ไม่พบความผิดปกติในร่างกาย ยาวิเศษขนานนี้อาจช่วยได้

    :- https://visalo.org/article/secret256105.html
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    เติบโตเพราะจากพราก
    พระไพศาล วิสาโล
    ทารกในครรภ์เมื่อเติบโตเต็มที่ แม้รู้สึกอบอุ่นมั่นคงเพียงใดในนั้น วันหนึ่งก็จำต้องแยกจากร่างกายของแม่ เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่ทารกจะเติบโตต่อไปและพัฒนาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

    เด็กเล็กแม้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยในความดูแลอย่างใกล้ชิดของพ่อแม่ แต่วันหนึ่งก็ต้องจำต้องผละจากอ้อมกอดของท่านเพื่อเข้าโรงเรียน เพราะนั่นคือความจำเป็นสำหรับการอยู่รอดในวันข้างหน้า

    วัยรุ่นเมื่อมีวิชาความรู้ถึงจุดหนึ่ง ก็จำต้องจากบ้านและท้องถิ่น รวมทั้งมิตรสหายในวัยเด็ก เพื่อไปศึกษาต่อในแดนไกล แม้วันหนึ่งจะได้กลับมายังบ้านเกิดอีก แต่ก็พบว่าอดีตที่คุ้นเคยในวัยเด็กได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ทำได้อย่างมากก็แค่หวนนึกถึงวันวานอันหวานชื่น

    การเติบโตกับการจากพราก คือสิ่งที่มิอาจแยกจากกันได้ ไม่มีการเติบโตใด ๆ ที่ไร้การจากพราก แม้ว่าการจากพรากจะก่อให้เกิดความเจ็บปวด แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติบโต ทารกทุกคนย่อมตื่นตกใจเมื่อต้องแยกจากร่างกายของแม่ เขาย่อมต่อสู้ขัดขืนและร่ำไห้ แต่ในที่สุดก็จะรู้ว่าอนาคตที่ดีกว่ารออยู่ข้างหน้า ในทางตรงข้ามหากยังขืนอยู่ในครรภ์แม่ต่อไป ก็จะเกิดผลร้ายถึงชีวิตทั้งของเขาและของแม่

    จะเติบโตได้ต้องมีการจากพราก ไม่ใช่เราเป็นฝ่ายจากเท่านั้น บ่อยครั้งเป็นคนอื่นที่จากเราไป มิหนำซ้ำยังเป็นการจากไปชั่วนิจนิรันดร์ เมื่อมีอายุมากขึ้น ทุกคนก็พบว่าคนรักและคนใกล้ชิดค่อย ๆ ทยอยจากไปทีละคนสองคน การจากพรากแต่ละครั้งนำมาซึ่งความเศร้าโศกและเจ็บปวด แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เปิดใจให้เราเห็นความเป็นจริงของชีวิตแจ่มชัดขึ้น ทำให้เกิดปัญญาและวุฒิภาวะทางอารมณ์ ซึ่งช่วยให้จิตใจเข้มแข็งมั่นคง ไม่หวั่นไหวง่าย ๆ ต่อความผันผวนปรวนแปรของชีวิตและโลก

    ยิ่งพบกับการจากพราก ก็ยิ่งตระหนักว่าเรามิอาจฝากความหวังหรือความสุขไว้กับใครหรือสิ่งใดได้เลย เพราะอะไร ๆ ก็ไม่เที่ยง จะยึดติดถือมั่นกับอะไรก็ทำไม่ได้ ขืนพยายามทำเช่นนั้นก็จะพบกับความผิดหวังและเศร้าโศกเสียใจอยู่ร่ำไป ในเมื่อสุขจากภายนอกไม่เที่ยง ก็มีแต่สุขจากภายในเท่านั้นที่เราจะหวังพึ่งพาได้ ถึงตรงนี้ก็จะพบว่าจะสุขหรือทุกข์ มิได้ขึ้นอยู่กับว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่อยู่ที่เราจะรู้สึกอย่างไร หรือวางใจอย่างไรต่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหาก

    นั่นหมายความว่า จะพลัดพรากหรือสูญเสียแค่ไหน ใจเราก็ยังสามารถเป็นสุขอยู่ได้ ไม่จำต้องคร่ำครวญเศร้าโศกเสียใจ แต่ใช่หรือไม่ว่า จิตใจเราจะมั่นคงเป็นปกติอย่างนั้นได้ก็เพราะเจอการจากพรากครั้งแล้วครั้งเล่าจนเห็นสัจธรรมแจ่มแจ้ง นี้ใช่ไหมคือการเติบโตทางปัญญา ที่เราควรไปให้ถึง

    จะเติบโตได้ต้องมีการจากพราก และเมื่อเติบโตอย่างถึงที่สุด ก็จะไม่หวั่นไหวต่อการจากพรากใด ๆ อีกต่อไป ไม่เว้นแม้แต่การจากโลกนี้ไปตลอดกาล ความตายจะไม่ใช่สิ่งน่ากลัวอีกต่อไปเมื่อประจักษ์ชัดว่ามันเป็นธรรมดาของชีวิต จะเรียกว่านี้เป็นการเอาชนะความตายและการจากพรากทั้งมวลก็ได้ เพราะมันไม่อาจทำให้เราเป็นทุกข์ได้อีกต่อไป

    การจากพรากมีขึ้นเพื่อให้เราเติบโต บ่อยครั้งมันจำต้องเคี่ยวเข็นบีบคั้นเราเพื่อให้เราฉลาดขึ้น เข้มแข็งขึ้น และเมื่อเราเติบโตอย่างถึงที่สุด มันก็หมดหน้าที่ ไม่บีบคั้นจิตใจเราอีกต่อไป หากกลายมาเป็นแค่ปรากฏการณ์ธรรมดาไม่ต่างจากกลางวันและกลางคืน

    ถึงตอนนั้นเราคงอดไม่ได้ที่จะขอบคุณการจากพราก
    :- https://visalo.org/article/secret255811.html
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    ที่พึ่งพิงของชีวิต
    พระไพศาล วิสาโล
    ในระหว่างการอบรมคราวหนึ่ง วิทยากรให้ทุกคนเดินสบาย ๆ ไปทั่วห้อง แล้วเลือกจุดใดจุดหนึ่งที่ถูกใจ จากนั้นให้สมมติว่าตรงนั้นเป็น “บ้าน” ของตน ยืนเงียบ ๆ อยู่ตรงนั้นสักพัก หายใจเข้าหายใจออกสบาย ๆ ทีนี้ให้ทุกคนออกไปเดินเที่ยวรอบห้อง แต่มีข้อแม้ว่า ระหว่างที่เดิน ให้หายใจออกได้อย่างเดียว ห้ามหายใจเข้า จะหายใจเข้าได้ต่อเมื่อกลับมายัง “บ้าน” ของตนเท่านั้น

    ผ่านไป ๓ นาที เมื่อได้ยินเสียงระฆัง ให้ทุกคนมองหน้าเพื่อนที่อยู่ในห้อง เลือกคนที่รู้สึกประทับใจเพียงคนเดียว (โดยที่เขาไม่รู้ตัว) แล้วสมมุติว่าส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายของเขาเป็น “บ้าน”ของตน เป็นจุดที่แต่ละคนสามารถหายใจเข้าหายใจออกได้ตามสบายเมื่อได้อยู่ใกล้ แต่เมื่อใดที่ออกไปเที่ยว เดินเล่นรอบห้อง ก็ต้องงดหายใจเข้า หายใจออกได้อย่างเดียว จนกว่าจะกลับมาที่ “บ้าน”ของตน จึงจะหายใจเข้าออกได้ตามปกติ


    ผ่านไป ๓ นาที ก็ถึงขั้นตอนสุดท้าย ทีนี้ให้ทุกคนสมมติว่าทุกที่เป็นบ้านของตน ไม่ว่าอยู่ตรงไหน หรือเดินไปไหนก็สามารถหายใจเข้า-ออกได้ตลอดตามต้องการ

    เมื่อทำกิจกรรมดังกล่าวเสร็จ ส่วนใหญ่พูดตรงกันว่าช่วงแรกนั้นรู้สึกอึดอัดเวลาก้าวออกจากจุดที่สมมติว่าเป็น “บ้าน” จะไปไหนก็ไปได้ไม่นาน ต่อเมื่อกลับมา “บ้าน”จึงรู้สึกสบาย สำหรับช่วงที่สองนั้นส่วนใหญ่บอกว่ารู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าเดิมเพราะคนที่หมายตาไว้ในใจนั้น ไม่ยอมอยู่นิ่ง แต่จะเดินไปทั่วห้อง ดังนั้นจึงต้องคอยไล่ตามอยู่เสมอ เพื่อจะได้หายใจเข้าได้อย่างปลอดโปร่ง

    เมื่อถูกถามว่ากิจกรรมดังกล่าวให้แง่คิดอย่างไรเกี่ยวกับชีวิตของแต่ละคน หลายคนให้ความเห็นว่า ในชีวิตจริงนั้นเรามีความสุขที่ได้อยู่บ้าน ไม่ว่าจะไปเที่ยวหรือไปทำงานก็ตาม ก็ไม่สบายเท่ากับเวลาอยู่บ้าน แต่คนเราไม่สามารถอยู่บ้านได้ตลอด บางครั้งก็ต้องออกไปนอกบ้าน ซึ่งนั่นก็หมายถึงการเหินห่างจากความสุขที่เคยมี

    ความสุขของคนเรายังอยู่ที่ได้ใกล้ชิดใครบางคน ได้พบปะพูดคุยแล้วมีความสบายใจ แต่เมื่อใดที่อยู่ห่างไกลเขาก็จะมีความทุกข์มาแทนที่ ทำให้อยากเข้าหาเขาอยู่เสมอ แต่ปัญหาก็คือ เขาไม่เคยอยู่นิ่งเลย ถ้าอยากอยู่ใกล้เขาก็ต้องไล่ตามหาเขาไม่หยุดหย่อน ทำให้เหน็ดเหนื่อย

    ทุกคนพูดตรงกันว่า ถ้าหากทุกที่เป็นบ้านดังกิจกรรมช่วงที่สาม จะรู้สึกโปร่งโล่ง เบาสบาย มีความสุข จะไปไหนหรืออยู่ที่ไหน ก็ไม่อึดอัดคับข้อง เมื่อถามว่าทุกหนแห่งจะเป็นบ้านของเราได้อย่างไร คำตอบก็คือ ต้องทำใจให้เป็นบ้าน หรือให้บ้านย้ายมาอยู่ที่ใจ

    บ้านที่เป็นสถานที่นั้น ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิงได้อย่างแท้จริง เช่นเดียวกันการฝากใจไว้กับใครคนใดคนหนึ่ง แม้จะได้รับความอบอุ่นหรือความสุข แต่ก็ทำให้ชีวิตและจิตใจไม่เป็นอิสระ จะอยู่ลำพังหรือเหินห่างจากเขาก็ไม่ได้ ครั้นพยายามใกล้ชิดสนิทแน่น ก็ต้องเหน็ดเหนื่อย เพราะเขาเองก็ไม่ยอมอยู่นิ่ง เคลื่อนย้ายและแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ กลายเป็นว่าต้องไล่ตามเขาหรือปรับตัวปรับใจตามเขาตลอดเวลา

    ถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ คนที่เราพึ่งพิงทางใจนั้น เขาเองก็พึ่งพิงคนอื่นหรือสิ่งอื่นอีกต่อหนึ่ง ดังกิจกรรมข้างต้น ก.เลือก ข. เป็นบ้าน ส่วนข.กลับเลือก ค. เวลาข.เดินเข้าหา ค. ก.ก็ต้องขยับตาม ข. เป็นเช่นนี้ไม่หยุดหย่อน และเป็นเช่นนี้กันทุกคน จึงกลายเป็นการไล่ตามซึ่งกันและกันทั้งห้อง

    ทุกวันนี้ผู้คนเหน็ดเหนื่อยกับการวิ่งไล่ตามความสุข เพราะหวังความสุขจากสิ่งภายนอก ไม่ว่าเป็นสถานที่ บุคคล หรือวัตถุ แต่ความจริงที่ผู้คนมองข้ามไปก็คือ สิ่งเหล่านั้นหาได้เป็นอิสระในตัวเองไม่ แต่ก็ต้องพึ่งพาสิ่งอื่น ๆ เป็นทอด ๆ
    เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งแปรเปลี่ยน สถานที่ บุคคลหรือวัตถุที่เราฝากใจไว้ ก็พลอยแปรเปลี่ยนไปด้วย หากแปรเปลี่ยนไปในทางร้าย เราก็กลายเป็นทุกข์ ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ ต้องดิ้นรนขวนขวายทำอะไรสักอย่างสุดแท้แต่สถานการณ์จะพาไป กลายเป็นว่าไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้เลย

     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    (ต่อ)

    บ้านที่เรารัก ให้ความสุขสบายได้ก็เพราะเหตุปัจจัยมากมายหลายอย่าง อาทิ ดินฟ้าอากาศดี ชุมชนแวดล้อมอำนวย แต่หากวันดีคืนดีฝนตกหนักจนน้ำท่วม หรือชุมชนรอบข้างมีความขัดแย้งกัน โรงงานระเบิดปล่อยสารพิษออกมา ถึงตอนนั้นบ้านก็มิใช่วิมานแสนสุขอีกต่อไป ถ้าไม่ย้ายหนีก็ต้องอยู่ร้อนนอนทุกข์


    คนรักไม่ว่าพ่อแม่ สามีภรรยา ลูกหลาน ให้ความสุขแก่เรา เมื่อทุกอย่างราบรื่นลงตัว แต่หากงานของเขาล้มเหลว ธุรกิจล้มละลาย สุขภาพย่ำแย่ ทำให้เขากลัดกลุ้ม ถึงตอนนั้นเราก็พลอยทุกข์ไปด้วย และไม่อาจดำเนินชีวิตตามปกติได้ แต่จะต้องปรับเปลี่ยนไปตามเขา เช่น ต้องให้เวลาแก่เขามากขึ้น สาละวนช่วยเขาจนกว่างานการจะสำเร็จ เขามีความสุขเมื่อใด เราจึงจะมีความสุขได้ หาไม่แล้วก็ต้องทุกข์ต่อไป

    การเอาความสุขของเราไปผูกติดกับสิ่งใด ๆ ก็ตามจึงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และมักตามมาด้วยความทุกข์ เพราะทุกสิ่งก็ล้วนพึ่งพาสิ่งอื่น ไม่เป็นอิสระ หรือเที่ยงแท้ยั่งยืน พูดอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นอนัตตา ดังนั้นจึงแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ มิอาจเป็นไปดังใจได้

    การพึ่งตัวเอง ไม่หวังพึ่งพาความสุขจากสิ่งใด ๆ จะช่วยให้เราเป็นอิสระอย่างแท้จริง และเป็นสุขในทุกหนแห่ง ไม่ว่าสิ่งต่าง ๆ จะผันผวนแปรปรวนอย่างใด เราจะไม่มัวคาดหวังสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นดั่งใจ เพราะรู้ว่ามันไม่อยู่ในอำนาจของเรา แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลยสิ่งต่าง ๆ หากยังพร้อมจะเข้าไปเกี่ยวข้องดูแลโดยทำตามเหตุปัจจัย มิใช่เพราะความยึดติดถือมั่นอยากให้เป็นตามใจปรารถนา

    ความสุขที่แท้อยู่ที่การพึ่งตน ซึ่งที่จริงก็คือการพึ่งธรรม ดำเนินชีวิตตามธรรมและอย่างถูกธรรมนั่นเอง
    :- https://visalo.org/article/secret255507.htm

    , , EndLineMoving.gif
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    เปิดใจรับความจริง
    พระไพศาล วิสาโล
    ธรรมในพุทธศาสนาแยกได้เป็นสองอย่างเท่านั้น คือจริยธรรมและสัจธรรม จริยธรรมคือความดีเป็นสิ่งที่ต้องทำ ถ้าอยากมีความสุขก็ต้องทำ ต้องทำจึงจะมีชีวิตที่ผาสุกและเจริญงอกงามได้ ส่วนสัจธรรมคือความจริง เป็นสิ่งที่ต้องเห็นหรือเข้าถึง การปฏิบัติธรรมถ้ากล่าวอย่างย่อๆ ก็มีแค่สองเท่านั้น คือทำความดี และเห็นความจริง ทำความดีได้แก่ การให้ทาน การรักษาศีล รวมทั้งการภาวนาที่ทำให้คุณภาพจิตเจริญงอกงาม เช่น มีเมตตา มีความเพียร มีขันติ มีความอดทน ซึ่งล้วนทำให้จิตใจอ่อนโยน นุ่มนวล เอื้อเฟื้อต่อการทำความดี แต่เท่านั้นยังไม่พอ เราต้องฝึกจิตให้เห็นความจริงด้วย ความจริงนั้นมีมากมาย อาจจะเรียกว่าไม่น้อยกว่าดวงดาวที่อยู่บนฟากฟ้า หรือที่อยู่ในจักรวาลนี้

    พระพุทธเจ้าเคยเปรียบความจริงทั้งหลายในโลกนี้ เหมือนกับใบไม้ในป่า คราวหนึ่งพระพุทธองค์ได้ประทับที่ป่าประดู่ลาย และหยิบใบไม้มากำมือหนึ่ง ตรัสถามพระสาวกว่าใบไม้ในมือของพระองค์กับใบไม้ในป่า อันไหนมีมากกว่ากัน พระสาวกก็ตอบว่าใบไม้ในป่ามีมาก ใบไม้ในกำมือพระองค์มีน้อย พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า ธรรมะที่พระองค์สอนก็เหมือนกับใบไม้ในกำมือ น้อยกว่าความจริงทั้งหลายในโลกและจักรวาลนี้ ความจริงมีมากมายนับประมาณไม่ได้ มหาศาลมาก แต่ความจริงที่พระพุทธเจ้าเอามาสอนนี้มีเพียงน้อยนิด เช่น ความจริงเกี่ยวกับรูปนาม ความจริงเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม ความจริงเกี่ยวกับเหตุแห่งทุกข์ คือปฏิจจสมุปบาท ความจริงที่เกี่ยวกับการดับทุกข์ คือปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร รวมทั้งความจริงเกี่ยวกับไตรลักษณ์

    จะว่าไปแล้วมีความจริงไม่กี่อย่างที่เราควรเปิดใจให้เห็น ถ้าเราทำความดีแต่ไม่สามารถเปิดใจให้เห็นความจริงอย่างที่ว่ามา ก็ยังหนีความทุกข์ไม่พ้น หรือยังไม่สามารถยกจิตเหนือความทุกข์ได้ ก็ยังต้องทุกข์ต่อไป ถึงแม้ว่าการทำความดีนั้นจะช่วยให้เรามีความทุกข์น้อยลง มีความสุขมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง คนที่ทำความดีมามากก็ยังมีความทุกข์อยู่ อาจจะทุกข์เพราะทำความดีแล้วไม่มีคนเห็น มีความน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกตำหนิ มีความแค้นเคืองที่ถูกต่อว่าด่าทอ หรือเป็นทุกข์เมื่อล้มป่วย มีคนจำนวนไม่น้อยทำความดี สร้างบุญกุศล เพราะมีความเชื่อว่าจะทำให้มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ คือมีอายุยืน ไม่ป่วยไข้ ชีวิตมีแต่ความเจริญ แต่พอเจ็บป่วยก็ทำใจไม่ได้ ตีโพยตีพายว่าทำไมต้องเป็นฉัน ฉันอุตส่าห์ทำความดี ทำไมฉันถึงต้องเป็นมะเร็ง อันนี้เป็นตัวอย่างของคนที่แม้ทำความดีแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะพ้นทุกข์ ยิ่งถ้าทำความดีด้วยความเชื่อว่าทำความดีแล้วจะไม่มีทุกข์ ก็ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่

    มีชายคนหนึ่งทำบุญให้ทานรักษาศีลตั้งแต่ยังหนุ่ม เพราะมีความเชื่อว่าทำแล้วชีวิตจะมีแต่ความสุขความเจริญ อายุยืน รอดพ้นจากโรคาพยาธิ แคล้วคลาดจากภัยอันตราย แล้ววันหนึ่งก็พบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เขาทำใจไม่ได้ ไม่ใช่เสียใจเท่านั้น แต่ยังมีความโกรธเคือง รู้สึกเหมือนถูกโกหกหลอกลวง ถูกหักหลัง เอาแต่ตัดพ้อว่า ทำไมฉันทำบุญแล้วถึงต้องล้มป่วย ทำไมบุญกุศลไม่ช่วยฉันเลย ทำไมทำดีแล้วต้องมาเจอทุกข์ภัยแบบนี้ เขาแค้นเคืองมาก แสดงความก้าวร้าวต่อหมอและพยาบาลเพราะทำใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน กลายเป็นว่าไม่เพียงแค่ป่วยกาย แต่ยังป่วยใจด้วย เพราะว่าวางใจผิด ตอนตายเขาก็ตายไม่สงบเพราะรู้สึกผิดหวังที่ต้องมาเจอเคราะห์กรรมแบบนี้ ทั้งๆ ที่ทำความดี รักษาศีลมาตลอด
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    (ต่อ)
    อันนี้เป็นเพราะเขาไม่ตระหนักถึงความจริงที่ว่าคนเราไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม รวยหรือจน เด็กหรือผู้ใหญ่ พระหรือโจร ก็หนีความเจ็บป่วยและความตายไม่พ้น แต่ถ้าตระหนักถึงความจริงที่ว่าความแก่ ความเจ็บป่วยหรือความตายก็ดี เป็นธรรมดาของชีวิต เป็นความจริงที่ไม่มีใครหนีพ้น ก็จะทำใจยอมรับได้ และจะไม่ตีโพยตีพายซึ่งกลายเป็นการซ้ำเติมร่างกายให้ย่ำแย่ลงไป อันนี้เป็นตัวอย่างว่าทำความดีอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องฝึกใจหรือเปิดใจให้เห็นความจริง เห็นความจริงเกี่ยวกับไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตระหนักว่าในที่สุดแล้วคนเราก็ไม่อาจหนีความเจ็บป่วยและความตายได้พ้น รวมไปถึงความพลัดพรากสูญเสียด้วย เป็นเพราะคนเราไม่เห็นความจริงตรงนี้ ดังนั้นแม้ทำความดีก็ยังทุกข์

    ในสมัยพุทธกาล มีหญิงผู้หนึ่งชื่อนางกีสาโคตมี เป็นคนฉลาด เป็นคนที่ทำความดีมาตลอด เป็นผู้ใฝ่ธรรม แต่พอลูกตายก็ทำใจไม่ได้ ไม่ยอมรับว่าลูกตาย อุ้มลูกไปให้ใครต่อใครปลุกให้ฟื้น ทุกคนก็ส่ายหัวไม่สามารถช่วยเธอได้ พยายามบอกเธอว่าลูกเธอตายแล้ว เธอก็ไม่ยอมฟัง จนกระทั่งมีคนแนะนำให้ไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์เห็นอาการของเธอแล้วก็รู้ว่าสอนธรรมะไปใจก็ไม่เปิดรับ เพราะจิตใจท่วมท้นด้วยความเศร้าโศกเสียใจและความหลง เหมือนกับน้ำที่เต็มแก้ว แก้วมีน้ำอยู่เต็มนั้น เติมอะไรไปก็ไม่รับ พระองค์จึงบอกเธอว่า พระองค์สามารถช่วยเธอได้ถ้าหากเธอไปหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ไม่มีคนตายมาให้

    เธอดีใจมาก เข้าไปในเมืองทันทีเพื่อขอเมล็ดผักกาด บ้านไหน ๆ ก็มีเมล็ดผักกาด แต่เมื่อถามว่ามีคนตายในบ้านไหม ก็ปรากฏว่ามีคนตายทุกบ้าน คนสมัยก่อนเขาตายที่บ้าน ไม่ได้ตายที่โรงพยาบาล หลังจากที่ถามบ้านแล้วบ้านเล่า สุดท้ายเธอก็เห็นความจริงว่าความพลัดพรากสูญเสียเป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นกับทุกครอบครัว ทุกคนล้วนสูญเสียคนรักทั้งนั้น เธอก็เลยทำใจยอมรับได้ว่าลูกตายแล้ว จึงเอาลูกไปเผาที่ป่าช้า แล้วกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า คราวนี้พระองค์แสดงธรรมสั้นๆ ว่า “มฤตยูย่อมพาเอาคนผู้มัวเมาในลูกและสัตว์เลี้ยง ผู้มีใจข้องอยู่ในอารมณ์ต่าง ๆ เหมือนห้วงน้ำใหญ่ย่อมพัดพาเอาชาวบ้านที่หลับใหลไป ฉะนั้น” นางกีสาโคตมีได้พิจารณาตาม ปัญญาเกิดก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน

    การเห็นความจริงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักปฏิบัติธรรม ถ้าหากทำแต่ความดีแต่ไม่เปิดใจเห็นความจริงก็ยังต้องถูกความพลัดพราก ความเจ็บป่วย รวมทั้งความตายคุกคาม เล่นงานบีบคั้น ไม่ใช่แค่กายเท่านั้น แต่ยังบีบคั้นจิตใจด้วย เมื่อยอมรับความจริง เห็นความจริงแล้ว แม้เจอความพลัดพรากสูญเสีย ใจก็สงบได้

    มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งชื่อนางมัลลิกา เป็นภรรยาของ?พันธุลเสนาบดี พันธุละเป็นโอรสของเจ้ามัลละแห่งแคว้นมัลละ แต่มีความน้อยเนื้อต่ำใจในหมู่พระญาติ จึงอยู่กับพระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งเป็นเพื่อนที่เคยไปเรียนที่สำนักตักศิลาด้วยกัน มีความสามารถทางการทหารมาก เมื่อมาอยู่กับพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้เป็นเสนาบดีคู่ใจ แต่ตอนหลังพระเจ้าปเสนทิโกศลเกิดความระแวงเพราะหูเบาเชื่อคำยุยงของคนใกล้ชิด ว่าพันธุละจะยึดอำนาจ ก็เลยหลอกไปฆ่า โดยสั่งให้ไปปราบโจรที่ชายแดนแล้วหาคนซุ่มโจมตี ซึ่งก็สำเร็จ พันธุละกับลูกชาย ๓๒ คนถูกฆ่าตายไม่เหลือสักคน

    ข่าวนี้มาถึงนางมัลลิกาในเช้าวันที่กำลังเลี้ยงพระ มีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นประธาน เมื่อนางเปิดอ่านจดหมายและรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางก็ไม่ได้มีสีหน้าผิดปกติ ยังคงทำงานต่อคือถวายอาหารเลี้ยงพระ ในช่วงนั้นเองคนใช้ของนางเกิดทำถาดใส่เนยใสตกแตกต่อหน้า พระสารีบุตรจึงพูดปลอบใจนางว่า ของที่แตกได้ก็แตกไปแล้วอย่าเสียใจไปเลย นางมัลลิกาจึงกล่าวกับพระสารีบุตรว่า เมื่อกี้มีคนส่งข่าวมาให้ดิฉันว่า สามีและลูกชายทั้ง ๓๒ คนถูกฆ่าตาย ดิฉันยังไม่เสียใจเลย เมื่อถาดเนยใสตกแตก ดิฉันจะเสียใจทำไมเจ้าคะ

    นางมัลลิกาเป็นผู้ที่มีธรรมะ นางเห็นว่าความตายเป็นธรรมดาของทุกชีวิต ความพลัดพรากจากคนรักเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น เมื่อเหตุร้ายนั้นเกิดขึ้นกับตนก็ยอมรับได้ นางมัลลิกาไม่ใช่นักบวช แต่มีความเข้าใจในธรรมะอย่างมาก เมื่อเห็นความจริงในเรื่องอนิจจังของชีวิต ก็สามารถรักษาใจเป็นปกติได้ยามเกิดความพลัดพรากสูญเสีย

    ดังนั้นการฝึกใจให้เห็นความจริงเป็นการปฏิบัติธรรมที่สำคัญ ช่วยให้เราสามารถอยู่ในโลกที่ผันผวนแปรปรวนได้โดยที่ใจไม่ทุกข์ เมื่อเราได้เห็นความจริงในเรื่องไตรลักษณ์แล้ว ก็ทำให้เรามีท่าทีและวางใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา ใจก็เป็นปกติได้ ไม่ต้องรู้ความจริงถึงขั้นเป็นพระอริยเจ้าก็ได้ แม้เป็นปุถุชน แต่ถ้าเปิดใจยอมรับความจริงเหล่านี้อยู่เสมอ ก็สามารถที่จะอยู่กับความทุกข์ ความพลัดพรากสูญเสียได้โดยใจไม่ทุกข์
    :- https://visalo.org/article/5000s07_2.html
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    ทำชีวิตให้ช้าลง

    พระไพศาล วิสาโล
    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพิจารณาธรรมชาติเสมือนครูของเรา เช่น ให้ไปอย่างเบาเหมือนกับนกที่มีเพียงแค่ปีก ๒ ข้างก็สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ อันนี้ท่านสอนพระให้มีสัมภาระน้อย เราลองสังเกตธรรมชาติ เขาจะสอนเราหลายอย่าง เช่น ต้นไม้ เวลาเดินกลางแดดเราเคยนึกสงสัยบ้างหรือเปล่า เราเดินแค่ ๒ ชั่วโมงก็เหนื่อยแล้ว แต่ต้นไม้นี่เขียวตลอดเลย ขนาดอยู่กลางแดด รับแดดเข้าไปเต็มๆ ก็ยังเขียวได้ มีต้นไม้บางต้นบอบบางแต่เขียว แถมผลิดอกสวยงาม

    อาตมาเดินธรรมยาตราทุกปี ปีหนึ่งผ่านเส้นทางที่เป็นทางดินฝุ่นจับหนามาก ตอนนั้นเป็นตอนกลางวัน สองข้างทางมีแต่หญ้าเหลืองแห้ง พวกเราเดินไปก็รู้สึกห่อเหี่ยวไปด้วย แต่พอมาถึงจุดหนึ่งระหว่างห้วยลาดผักหนามกับซับสมบูรณ์ มีต้นประทัดจีนขึ้นอยู่ริมทาง ต้นเล็กๆ ดอกแดงสด แถมหันดอกให้กับพระอาทิตย์ พวกเราหลายคนพอเห็นแล้วรู้สึกเลยว่าดอกไม้ในใจเราเบ่งบานเลย เพราะเกิดกำลังใจว่าขนาดดอกเล็กๆ เขายังสู้แดดได้ และไม่ได้สู้แดดแบบฝืนทน แต่สู้แดดแบบร่าเริงแจ่มใส เราเสียอีกกลับห่อเหี่ยวเมื่อเจอแดด ทั้ง ๆ ที่เรียกตัวเองว่านักปฏิบัติธรรม พอเจอดอกประทัดจีนบาน ดอกไม้ในใจก็บาน หน้าก็บานด้วย เลยยิ้มกันใหญ่


    แต่มีบางคนมองไม่เห็นดอกประทัดจีน เพราะมัวแต่กลุ้มใจ เอาแต่บ่นว่า ร้อนเหลือเกิน เมื่อไหร่จะถึง ถ้าคิดแบบนี้ก็ไม่เห็นหรอกแม้สองข้างทางจะสวยงามเพียงใดเพราะใจไม่ว่างแล้ว ใจอัดแน่นด้วยความทุกข์ เราจะเห็นภาพสวยงามชุ่มชื่นใจอย่างนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเปิดใจ แล้วเราก็จะเห็นธรรมชาติ เห็นความจริงที่เขาสอนและแสดงให้เราเห็น

    นอกจากต้นไม้ทนต่อแดด สามารถเขียวสะพรั่งได้ตลอดวันแล้ว ต้นไม้ยังทำได้ยิ่งกว่านั้นอีก คือเปลี่ยนแดดให้กลายเป็นร่มเงา เปลี่ยนแดดให้กลายเป็นใบไม้ เปลี่ยนแดดให้กลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามได้ ไม่มีแดดก็ไม่มีสีเขียว ไม่มีแดดก็ไม่มีดอกไม้ นี้เป็นความเก่งกาจของต้นไม้ นอกจากจะทนต่อแดดแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนแดดมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ด้วย พวกเราก็ได้รับประโยชน์จากความสามารถของต้นไม้ ถ้าต้นไม้ไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแดดร้อนให้กลายเป็นร่มเงาที่เย็น ดอกไม้ที่สวยงาม หรือผลไม้ที่หอมหวานได้ เราก็คงจะไม่สามารถอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ เขาสอนเรามากเลยนะ คือสอนเรื่องความเสียสละ เพราะว่าเขายอมทนแดดเพื่อให้ร่มเงาแก่เรา ให้ร่มเงาแก่สัตว์เล็กสัตว์น้อย เราจะมองว่าเขาฉลาดก็ได้ที่เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี

    คนเราถ้ารู้จักเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุข เปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นกำลังบำรุงใจเราก็จะไม่ด้อยกว่าต้นไม้เลย เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุขให้ได้ เปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชคให้ได้ ไม่ใช่แค่ใบเท่านั้นที่ทำอย่างนี้ได้ รากต้นไม้ก็ทำอย่างนี้ได้เหมือนกัน เราเอาขยะ เอาขี้หมา เอาซากเอาศพเน่าทิ้งลงไปที่โคนต้น ประเดี๋ยวรากก็จัดการเอง เปลี่ยนของที่เน่าเหม็นให้กลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามหรือผลไม้ที่อร่อยได้

    พวกเรา เคยไปเมืองจีนไหม ปุ๋ยที่เอามาทำสวน จนได้ผักใบงามๆ ผลไม้ลูกใหญ่ๆ ล้วนมาจากขี้ทั้งนั้น ที่เมืองจีนส้วมจะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร คือไม่มีประตู มีแต่ฝาคั่นเป็นช่องๆ เวลาจะถ่ายเราก็หันหน้า ส่วนอุจจาระก็จะหล่นลงไปในราง แล้วชาวบ้านจะกวาดเก็บอุจจาระเหล่านี้มาทำปุ๋ย สวนผลไม้ สวนผักชอบปุ๋ยแบบนี้มาก อันนี้คือความสามารถของต้นไม้ ทั้งใบทั้งรากสามารถเปลี่ยนขยะปฏิกูลให้กลายเป็นของดีขึ้นมาได้

    เวลาเราเดิน หากเราเดินช้าๆ จะช่วยให้ชีวิตเราเร่งรีบน้อยลง ชีวิตคนเราสมัยนี้เร่งรีบมาก เราเร่งรีบเพื่อจะได้ไปทำอีกอย่างหนึ่ง พอทำงานชิ้นที่ ๒ เราก็เร่งรีบอีกเพื่อไปทำงานชิ้นที่ ๓ กับชิ้นที่ ๓ เราก็เร่งรีบอีก กลายเป็นว่าเราเร่งรีบเพื่อจะไปเร่งรีบอีกอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรนอกจากนี้ ผลก็คือเรา กลายเป็นคนไม่มีเวลาว่าง แม้แต่ไปเที่ยวธรรมชาติก็รีบๆ คนสมัยนี้มีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลามากมาย เพื่อทำอะไรให้เร็วๆ ให้เสร็จไวๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีเวลาว่างเลย ไม่มีเวลาแม้แต่จะพักผ่อน หรือมีเวลาให้กับพ่อแม่ลูกหลาน ตรงกันข้ามกับชาวบ้าน ชาวบ้านไม่ค่อยมีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลา จะทำอะไรแต่ละอย่างๆ ใช้เวลามาก ไม่ว่า การเดินทาง การหุงหาอาหาร การตักน้ำ แต่ทำไมเขามีเวลาว่างเยอะ ลองสังเกตก็จะเห็นว่า เขามีเวลานอนเล่น กลับถึงบ้านเขาก็มีเวลาอยู่กับลูกกับหลาน ส่วนคนเมืองกลับไม่มีเวลาว่างทั้ง ๆ ที่รีบทุกอย่าง แปลกไหม ยิ่งรีบ กลับไม่มีเวลาว่าง ส่วนคนไม่รีบ กลับมีเวลาว่าง เราลองสังเกตดู

    มาเดินธรรมยาตรา เราบ่นว่าใช้เวลาเดินเยอะเหลือเกิน ถ้านั่งรถครู่เดียวก็ถึงแล้ว แต่สิ่งที่เราสูญเสียไปกับการเร่งรีบนี้มีเยอะมาก เราเคยคิดบ้างหรือเปล่า การเร่งรีบดูเหมือนจะทำให้ประหยัดเวลา แต่นับวันเวลาว่างเรากลับมีน้อยลง การเร่งรีบยังทำให้เราสูญเสียหลายอย่าง เช่น สูญเสียความสงบใจ สูญเสียโอกาสที่จะเพ่งพินิจธรรมชาติตามรายทาง รวมทั้งสูญเสียโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับผู้คน ไม่มีโอกาสพูดคุยกับผู้คน เดี๋ยวนี้เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ เรารู้จักแต่สถานที่ โดยเฉพาะย่านช็อปปิ้ง แต่เราแทบไม่รู้จักกับผู้คนที่เป็นเจ้าของประเทศเลย เพราะเราไปกันแบบรีบๆ เลยไม่ได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์หรือเรียนรู้จากผู้คน เวลาไปต่างประเทศก็อยู่โรงแรม พอย่างท้าวออกจากโรงแรมก็ขึ้นรถทัวร์ ถึงสถานที่ท่องเที่ยวก็ลงรถ เที่ยวๆ เสร็จกลับมาขึ้นรถทัวร์ กลับมาพักโรงแรม เราถ่ายรูปเพื่อบอกใครว่าได้ไปสถานที่โน้นสถานที่นี้ แต่เรารู้จักคนที่เป็นเจ้าของประเทศบ้างหรือเปล่า

     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    (ต่อ)

    การขาดปฏิสัมพันธ์แบบนี้เป็นความขาดทุนอย่างหนึ่ง เพราะการมีปฏิสัมพันธ์กันทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจกัน รวมทั้งได้ซาบซึ้งกับน้ำใจของผู้คน เวลาเราเอาท้องฝากไว้กับคนอื่น มันจะทำให้เราเห็นน้ำใจของผู้คนมากขึ้น อย่างขบวนธรรมยาตรานี้ จะเรียกว่าเราเอาปากท้องฝากไว้กับชาวบ้าน กับผู้คนสองข้างทางก็ได้ เมื่อไรก็ตามที่เราทำอย่างนี้ เราจะเห็นน้ำใจของผู้คน คนที่นั่งรถ คนที่ทำอะไรเร็วๆ ไปถึงที่หมายเร็วๆ หรือนั่งรถทัวร์ จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสน้ำใจแบบนี้เลย ประสบการณ์แบบนี้เป็นสิ่งมีค่า และอาจตราตรึงใจเราได้ไม่น้อยกว่าการได้เห็นสถานที่แปลกๆ ก็ได้


    การได้เห็นสถานที่แปลกๆ ส่วนใหญ่ก็แค่ประทับไว้ในภาพถ่าย อาจถ่ายเป็นพันรูปแต่ไม่ได้กลับมาดูเลยก็ได้ หรืออาจจะดูแค่วันสองวันแล้วก็ลืมไป แต่สิ่งที่จะประทับอยู่ในใจเรานานก็คือเมตตาของผู้คน โดยเฉพาะเวลาตกระกำลำบากเราจะซาบซึ้งน้ำใจของเขามาก เวลาประสบความยากลำบากในต่างแดนแล้วมีคนช่วยเรา เราจะจำหน้าเขาได้ไม่ลืม ทุกวันนี้อาตมายังจำหน้าคนหลายคนที่ช่วยอาตมาตอนมีปัญหาได้ หากเราอยู่แต่ในบ้านเราจะไม่รู้สึกแบบนี้ เพราะเวลาเราอยู่บ้าน เราจะรู้สึกว่าเรามีทุกอย่าง เราเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกอย่างเรียบร้อยเลิศเลอเพอร์เฟ็ค สบาย เราจะรู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญ ทุกอย่างอยู่ในอำนาจของเรา แต่พอเราไปต่างแดน ตัวเราจะเล็กลง เพราะเราไม่ใช่เจ้าบ้าน ยิ่งเราตกระกำลำบาก เราจะได้พบกับน้ำใจผู้คน และหากเราไปช้า ๆ เราจะได้เรียนรู้จากผู้คน ได้มีโอกาสพูดคุยกับเขา ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น แม้จะต่างชาติ ต่างภาษา หรือต่างศาสนาก็ตาม

    การเดินจึงมีหลายมิติมาก การท่องเที่ยวด้วยการเดินไปช้าๆ ทำให้ได้เห็นธรรมชาติ ได้อาศัยธรรมชาติเป็นครู และได้รู้จักผู้คนต่างชาติต่างภาษาที่อาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย เจอกันเพียงครั้งเดียว แต่อาจซาบซึ้งน้ำใจของเขาไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
    :- https://visalo.org/article/komol255407.htm


     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    Sati LpMahaBua.jpg
    ดูแลใจอย่าให้เขว

    พระไพศาล วิสาโล
    มีการทดลองหนึ่งที่น่าสนใจและเตือนใจเราได้ดีมาก เขาเอาอาสาสมัครประมาณ ๒๐ คน มาทำแบบทดสอบง่าย ๆ เอาเส้น ๓ เส้นมาให้ดู จากนั้นถามว่า เส้นไหนที่มีความยาวเท่ากับเส้นที่ ๔ คำถามอย่างนี้ไม่น่าจะตอบยาก เพราะทั้ง ๓ เส้นมีความยาวแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ในกลุ่มนั้นมีหน้าม้าประมาณ ๔-๕ คนปะปนอยู่ด้วย ผู้ทดลองจะถามทีละคน แต่จะถามหน้าม้าก่อน โดยให้หน้าม้าทุกคนตอบผิดหมดเลย จากนั้นก็ให้คนอื่นตอบ

    ปรากฏว่าอาสาสมัครซึ่งตอบทีหลัง ส่วนใหญ่ก็จะคล้อยตามความเห็นของหน้าม้า ตอบผิดถึง ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าผิดเลย คือถ้าไม่มีหน้าม้า ร้อยทั้งร้อยก็ตอบถูก แต่พอมีหน้าม้ามาทำให้เขว คนอื่นก็เขวตามถึง ๗๕ เปอร์เซ็นต์ นับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลย แสดงว่าคนเราคล้อยตามคนอื่นได้ง่าย ที่น่าคิดคือคนที่เป็นอาสาสมัครไม่ใช่เด็ก เป็นนักศึกษาหรือคนทำงานแล้วทั้งนั้น มีความคิดของตัวเอง และรู้ด้วยว่าคำตอบที่ถูกต้องคืออะไร แต่พอได้ยินคนอื่นตอบอย่างนั้น ก็คล้อยตามเขา เกิดความลังเล สงสัยขึ้นมาว่าคำตอบของเรานั้นถูกแน่หรือเปล่า พอเห็นคนที่ ๑ คนที่ ๒ คนที่ ๓ ตอบไม่ตรงกับตัวเองก็เริ่มเขว สุดท้ายก็ตอบเหมือนคนที่พูดก่อนหน้านั้น โดยที่ไม่รู้ว่าคนที่ตอบก่อนคือพวกหน้าม้า

    มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เรายังมีสัญชาตญาณแบบฝูงอยู่ คือคล้อยตามฝูง ถึงแม้ว่าเราจะพัฒนามาถึงยุคนี้แล้ว แต่ว่าการคล้อยตามคนอื่น ก็ยังเป็นสัญชาตญาณที่อยู่ในหัวของเรา

    เคยมีการทดลองอีกอันหนึ่ง เขาแกล้งทำให้เกิดอุบัติเหตุตรงสี่แยกแห่งหนึ่ง มีคนเห็นเหตุการณ์เยอะแยะเลย ตอนที่เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน สัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง ใคร ๆ ก็เห็นว่าเป็นสีแดง แต่พอเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน ก็ให้หน้าม้าไปกระซิบบอกคนที่อยู่ตรงนั้นว่า ตอนที่เกิดเหตุนั้นสัญญาณไฟเป็นสีเขียว คนที่ถูกกระซิบมีประมาณครึ่งหนึ่งของคนที่เห็นเหตุการณ์อยู่ตรงสี่แยก สักพักก็จะมีนักวิจัยมาสอบถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ คุณจำได้ไหมว่า สัญญาณไฟจราจรเป็นสีอะไร ปรากฏว่าครึ่งหนึ่งตอบว่าสีเขียว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าที่จะมีหน้าม้าไปกระซิบ ทุกคนก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นสีแดง แต่เมื่อได้รู้ข้อมูลใหม่ก็เปลี่ยนความทรงจำทันที แสดงว่าความจำของคนเราไว้ใจไม่ได้ เวลาแค่ไม่ถึง ๕ นาที ความจำของเราก็ถูกแปรเปลี่ยนไปได้ไม่ยาก นี่เป็นอีกตัวอย่างของการคล้อยตามการบอกเล่า

    นอกจากเชื่อข่าวลือง่ายแล้ว ก็ยังปล่อยข่าวลืออีกด้วย มีข่าวลืออะไรมาก็เชื่อง่าย พอเชื่อแล้วก็บอกต่อคนนั้นคนนี้ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีเฟซบุ๊ค มีไลน์ ผู้คนก็ชอบแชร์เรื่องนั้นเรื่องนี้ พอมีการแชร์กันเยอะ ๆ เราก็คล้อยตาม เชื่อเพราะเห็นว่ามีการแชร์กันเยอะ แล้วเราก็แชร์กับเขาบ้าง กลายเป็นเครื่องมือในการปล่อยข่าวลือ อันนี้เกิดขึ้นมากในแวดวงอินเทอร์เน็ต เราจึงควรตระหนักว่า คนเราเห็นคล้อยตามกันง่าย ยิ่งถ้าไม่มีสติแล้วจะคล้อยตามอะไรได้ง่ายมาก เช่น คล้อยตามคำพูดของคนอื่น ขนาดเรื่องง่าย ๆ เรายังคล้อยตามคำตอบที่ผิด

    คนเราส่วนใหญ่เขวง่าย ชักจูงง่าย ไม่ว่าจะเรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ก็เขวง่ายไม่ต่างกัน ยิ่งอยู่กันเป็นกลุ่ม ก็ยิ่งเขวไปตามกลุ่มได้ง่าย กลุ่มชวนไปตีคู่อริ ใครที่อยู่ในกลุ่มก็ไปกับเขาง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้โกรธแค้นอะไรกับอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่รู้จักด้วยซ้ำ แต่ว่ากลุ่มมันพาไป บางทีก็เริ่มต้นจากคนสองคนเท่านั้นที่นำไป พอคล้อยตามสัก ๓-๔ คน ที่เหลือเป็นร้อยก็เฮตามไปด้วย

    นี้เป็นปรากฏการณ์อย่างเดียวกับที่เกิดในตลาดหุ้น พวกเราก็รู้ว่าคนที่เล่นหุ้นมีความรู้เยอะ แต่ก็เป็นเหยื่อของคนปั่นหุ้น เวลาเขาปั่นหุ้นก็ปั่นกันแบบนี้ คือเริ่มจากคนแค่ไม่กี่คน มีหน้าม้าแห่มาซื้อหุ้น คนที่เหลือเห็นเข้าก็คิดว่าหุ้นดี ก็ตามไปซื้อด้วย เท่ากับปั่นราคาให้สูงขึ้น หรือเวลาจะขายหุ้นทิ้ง ก็มีหน้าม้าเทขาย ที่เหลือก็ขายตาม คนที่คล้อยตามคนอื่นแบบนี้เขาเรียกว่า แมงเม่า คนพวกนี้มีการศึกษา แต่ว่าก็ยังไม่สามารถหลุดจากสัญชาตญาณเดิมได้ คือการคล้อยตามฝูง

    เพราะฉะนั้น สติจึงสำคัญมาก ถ้าเราไม่มีสติก็จะคล้อยตามคนอื่นจนผิดทิศผิดทาง การคล้อยตามจนตอบคำถามผิด ๆ ผลเสียอาจไม่เท่าไร แต่ถ้าไปคล้อยตามเรื่องอื่นอาจเกิดผลเสียหายร้ายแรงได้ ในแง่หนึ่ง การมีเพื่อนที่ดีก็ช่วยได้เยอะ คือช่วยทักท้วงตักเตือน แต่ว่าบางที แม้เพื่อนดีก็ผิดพลาดได้ เพราะฉะนั้นเราต้องมีความเป็นตัวของตัวเองไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นเราก็จะโดนเขาหลอกได้ง่าย ๆ
    :- https://visalo.org/article/komol33_2.html
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    Buddhaintheforest.jpg
    ช่วยกันรักษาชีวิตช้างป่า

    พระไพศาล วิสาโล
    ช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองที่ยากจะมีชีวิตใดมาเทียบได้ แม้ช้างจะมิใช่สัตว์ประจำบ้าน แต่คนไทยไทยในอดีตก็คุ้นกับช้างมานาน จนช้างได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญในวัฒนธรรมและศาสนา จารึกและศิลปกรรมเกี่ยวกับช้างชิ้นเก่าแก่ที่สุดที่พบในประเทศไทย สามารถนำเราย้อนหลังไปยังอดีตได้ไกลนับพันปี

    คนไทยผูกพันกับช้าง ไม่ใช่เพียงเพราะช้างเป็นสัตว์ที่สามารถใช้งานได้สารพัด หากยังเป็นเพราะเรามีบางอย่างที่สามารถสื่อสารให้เข้าใจกันได้ ความเป็นมิตรและความเอื้ออาทรที่สามารถสัมผัสถึงกันได้ ทำให้คนไทยแต่ก่อนนับญาติกับช้างว่าเป็นพี่เป็นน้อง หรือเป็นพ่อ(แม่) เป็นลูกกัน วิถีชีวิตของคนไทยแต่บรรพกาล จึงมีเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับกับความประทับใจในสติปัญญาและคุณธรรมของช้างสืบต่อกันมามิได้ขาด

    แต่เมื่อคนไทยเริ่มเหินห่างจากธรรมชาติ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ช้างก็เริ่มลางเลือนไปจากใจของคนไทยยิ่งขึ้นทุกที นี้มิได้หมายความเพียงว่า นับวันเราจะรู้จักช้างน้อยลงเท่านั้น ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ เราได้ตัดญาติขาดมิตรกับช้าง หากไม่ถือว่าช้างเป็นศัตรูที่ต้องกำจัด ก็มองเห็นช้างเป็นเพียงวัตถุที่ต้องตักตวงประโยชน์อย่างเต็มที่ แม้ว่าต้องฆ่าช้างเพื่อเอางาไปขาย ก็ไม่รู้สึกอะไร

    การพัฒนาเศรษฐกิจในรอบ ๕๐ ปีที่ผ่านมาได้ทำให้แหล่งอาศัยของช้างถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว แต่ภัยที่คุกคามช้างอย่างร้ายแรงที่สุดก็คือ การล่าช้างเพื่อเอางา เพียงชั่วเวลาไม่กี่ปี ช้างป่าลดจำนวนอย่างรวดเร็วจนเหลือไม่ถึง ๒,๕๐๐ ตัวทั่วประเทศ จนน่าวิตกว่า ในเวลาไม่นานอาจไม่มีช้างหลงเหลือในป่าเลยก็ได้

    ความโลภของมนุษย์ คือสาเหตุแห่งการทำลายล้างธรรมชาติ แต่การที่ความโลภในยุคนี้ขยายตัวอย่างกว้างขวางอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นเพราะทัศนคติของผู้คนได้แปรเปลี่ยนไป จากความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ กลับกลายเป็นการแยกตนจากธรรมชาติ เราฆ่าช้างกันมากมายก็เพราะเรามิได้มองช้างว่าเป็นเพื่อนร่วมโลกหรือพี่น้องของเราดังแต่ก่อนอีกต่อไป

    นอกจากความโลภแล้ว ความหลงหรือความไม่รู้ก็มีส่วนไม่น้อย ทำให้การฆ่าช้างเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน มิใช่แต่ช้างไทยเท่านั้น หากยังรวมไปถึงช้างในประเทศอื่น โดยเฉพาะช้างแอฟริกัน ทุกวันนี้ในแอฟริกามีช้างถูกฆ่าเอางาปีละหลายหมื่นตัว สาเหตุก็เพราะงาช้างเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมาก อีกทั้งมีราคาแพง ในเมืองไทยผู้คนจำนวนไม่น้อยนิยมซื้อหาพระพุทธรูป ตลอดจนรูปเคารพและวัตถุมงคลต่าง ๆ ที่ทำด้วยงาช้าง ทั้งนี้โดยหารู้ไม่ว่างาช้างจำนวนมากไม่ได้มาจากช้างที่ตายโดยธรรมชาติ หากตายเพราะถูกฆ่าเพื่อเอางาโดยตรง ซึ่งมีทั้งช้างไทยและช้างแอฟริกันซึ่งนับวันจะมีสัดส่วนมากขึ้นทุกที
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    (ต่อ)
    การที่เมืองไทยอนุญาตให้มีการขายงาช้างได้อย่างถูกต้องและเปิดเผย เปิดช่องให้มีการนำงาช้างจากแอฟริกาเข้ามายังเมืองไทย (ทั้ง ๆ ที่การค้าขายงาช้างแอฟริกันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย) ประกอบกับความหละหลวมของเจ้าหน้าที่ไทย ผลก็คือเมืองไทยกลายเป็นตลาดค้างาช้างเถื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก นับตั้งแต่ปี ๒๕๓๒-๒๕๕๔ งาช้างแอฟริกันที่ถูกยึดได้ในเมืองไทยมีมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากจีน (คือมากกว่า ๒๕ ตัน)

    คนไทยน้อยคนที่รู้ว่าเมืองไทยมีบทบาทอย่างสำคัญเบื้องหลังการฆ่าช้างแอฟริกันจนลดจำนวนลงอย่างฮวบฮาบ ความไม่รู้นี้เองที่ทำให้เรายังคงมีส่วนสนับสนุนการสังหารช้างเหล่านี้วันแล้ววันเล่า ทั้งด้วยการซื้อสินค้างาช้างและด้วยการปล่อยให้มีการค้าขายงาช้างอย่างเปิดเผย ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้มีการเอางาช้างแอฟริกาที่ถูกกฎหมายมาฟอกผ่านร้านค้าในไทย

    ภาพช้างที่ถูกยิงตายทั้งโขลง ภาพลูกช้างที่คร่ำครวญข้างศพแม่อย่างน่าเวทนา เป็นภาพที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะรับรู้ถึงโศกนาฏกรรมที่กำลังเกิดแก่ช้างแอฟริกันและช่วยกันหยุดยั้งพฤติกรรมที่ส่งเสริมการสังหารช้างเหล่านี้ (รวมทั้งช้างไทยที่ยังคงถูกฆ่าเอางาอย่างไม่หยุดยั้ง) นอกจากไม่ซื้อและไม่สนับสนุนสินค้างาช้างแล้ว ควรร่วมกันผลักดันกฎหมายที่ห้ามการค้างาช้างทุกรูปแบบในเมืองไทย

    การฆ่าสัตว์นั้นเป็นปาณาติบาตที่สาธุชนพึงละเว้น นอกจากจะไม่ฆ่าเองหรือสั่งฆ่าแล้ว สาธุชนไม่ควรสนับสนุนการฆ่านั้นทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ในทางตรงข้ามเราควรช่วยกันปกป้องรักษาชีวิตสัตว์เหล่านั้น การช่วยกันคนละไม้คนละมือร่วมกับผู้คนนับล้านทั่วโลกสามารถก่อตัวเป็นพลังหยุดยั้งการสังหารช้างในทั้งสองทวีปได้ แม้ขบวนการค้างาช้างจะมีอิทธิพลมากมายเพียงใดก็ตาม
    :- https://visalo.org/article/bkkB5603.html


     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    สู้วิกฤตด้วยจิตที่มั่นคง
    พระไพศาล วิสาโล
    เหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วง ๒ เดือนที่ผ่านมาเต็มไปด้วยเรื่องสะเทือนขวัญ อาทิ การสังหารนาวิกโยธิน ๒ คนที่อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส และการสังหารพระกับศิษย์วัด ที่อำเภอปานาเระ จังหวัดปัตตานี ทั้ง ๒ กรณีเกิดขึ้นท่ามกลางความรุนแรงนับไม่ถ้วนที่ทำให้ผู้คนล้มตายเกือบ ๑,๐๐๐ คน โดยไม่เลือกว่าเป็นพุทธหรือมุสลิม นับแต่เดือนมกราคม ๒๕๔๗ เป็นต้นมา

    เมื่อได้รับฟังและรับรู้เหตุการณ์เหล่านี้ เป็นธรรมดาอยู่เองที่เราจะเกิดความโกรธแค้นและเกลียดชัง ยิ่งเชื่อว่าเหตุร้ายเหล่านี้เกิดจากฝีมือของคนต่างเชื้อชาติต่างศาสนา ความโกรธแค้นก็ยิ่งทวีคูณ ถึงตรงนั้นก็ง่ายที่เราจะพุ่งความโกรธเกลียดไปยังคนต่างเชื้อชาติต่างศาสนาทั้งหลาย โดยเหมารวมว่าคนเหล่านั้นเป็นคนชั่วร้ายและเป็นศัตรูกับเราไปหมด หากความรู้สึกนึกคิดของเราล่วงมาถึงจุดนี้ ก็นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเราเข้าสู่กับดักของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่อยู่เบื้องหลังความสยดสยองต่าง ๆ ที่ผ่านมา

    กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการยั่วยุให้เกิดความแตกแยกระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมจนถึงขั้นทำร้ายกัน เพราะนั่นจะทำให้สถานการณ์ควบคุมไม่ได้อีกต่อไป สถานการณ์เช่นนี้จะช่วยให้ขบวนการก่อการร้ายเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะมันอยู่ได้ด้วยความโกรธเกลียดและความคลั่งไคล้ไร้สติ ขบวนการเหล่านี้ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในบรรยากาศของผู้คนที่มีสติปัญญาและความเห็นอกเห็นใจกัน ดังนั้นจึงพยายามปลุกปั่นให้ผู้คนเสียสติและเกลียดชังกันอย่างถึงที่สุด เพื่อจะได้ทำร้ายกัน และผลักดันให้ผู้คนที่หมดหนทางต่อสู้พากันเข้าร่วมกับขบวนการก่อการร้ายเพื่อทำลายอีกฝ่ายให้จงได้

    หากจะต่อสู้กับขบวนการดังกล่าว ไม่มีวิธีใดทรงประสิทธิภาพเท่ากับการตอบโต้โดยดำรงสติไว้ให้มั่น อดทนต่อการยั่วยุอย่างถึงที่สุด และรักษาใจไม่ให้ความเคียดแค้นพยาบาทครอบงำ มีความรักและความเมตตาต่อกันแม้ต่างเชื้อชาติต่างศาสนา การใช้ความรุนแรงนั้นไม่สามารถทำลายขบวนการดังกล่าวได้อย่างถึงรากถึงโคน ตรงข้ามกลับทำให้มีคนบริสุทธิ์พลอยได้รับเคราะห์มากขึ้น ซึ่งในที่สุดจะเข้าไปร่วมกับขบวนการดังกล่าวโดยมีความจงเกลียดจงชังเป็นแรงผลักดัน ความเกลียดชังนั้นเป็นทั้งเส้นเลือดและอาหารของขบวนการดังกล่าว มีแต่การระงับความเกลียดชังและทำการอย่างมีสติเท่านั้นที่จะทำให้ขบวนการดังกล่าวอ่อนแอจนสลายตัวไปได้ในที่สุด

    จริงอยู่การรักษาใจไม่ให้ความเกลียดชังครอบงำจิตใจหรือแผ่กระจายไปทั่วสังคมนั้นเป็นเรื่องยากมาก (อาจจะยากกว่าการป้องกันไม่ให้เชื้อหวัดนกแพร่ระบาดไปทั่วประเทศด้วยซ้ำ) แต่อย่างน้อยก็ควรอดกลั้นต่ออารมณ์และไม่ปล่อยให้มันบงการความคิด คำพูด และการกระทำของเรา นั่นคือทางเดียวที่จะรักษาบ้านเมืองให้สงบสุขอยู่ได้ ยิ่งสำหรับชาวพุทธด้วยแล้ว นี้คือวิธีการที่จะรักษาพระศาสนาให้ดำรงคงอยู่ได้ด้วยดี การใช้ความรุนแรงห้ำหั่นกันมีแต่จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟและบั่นทอนพระศาสนาอย่างถึงรากฐาน ไม่มีศาสนาใดอยู่ได้โดยมีความโกรธเกลียดเคียดแค้นเป็นพื้นฐาน หากจะตั้งมั่นได้ก็ด้วยความรักและความเข้าใจ เราไม่สามารถปกป้องศาสนาได้ด้วยการใช้ความรุนแรงเข้าใส่กัน เพราะการทำเช่นนั้นก็เท่ากับทำลายศาสนาในจิตใจของเราตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อไม่มีศาสนาในจิตใจแล้ว ศาสนาที่ปรากฏแต่ภายนอกก็เป็นแค่เปลือกหรือกระพี้เท่านั้น หาใช่ศาสนาที่แท้จริงไม่

    พระพุทธศาสนานั้นจะมั่นคงก็ต่อเมื่อทุกคนมีพระพุทธศาสนาอยู่ในใจตนเป็นเบื้องต้น นั่นคือมีสติ ปัญญา เมตตา และขันติ หากปราศจากซึ่งธรรมดังกล่าว สิ่งที่เราปกป้องอาจไม่ใช่พระศาสนาที่แท้ แต่เป็นสิ่งอื่นแทน ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ชาวพุทธจะต้องดำรงรักษาใจให้มั่นคง ไม่ลุแก่โทสะ และอย่าปล่อยให้ความเคียดแค้นพยาบาทครองใจ แม้จะถูกยั่วยุด้วยความรุนแรงเพียงใด ก็ไม่โกรธตอบ พึงระลึกไว้เสมอว่าเวรย่อมมิอาจระงับด้วยการจองเวร
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    (ต่อ)
    การไม่จองเวรนั้นมิได้หมายถึงการอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้เขามาทำร้ายเราหรือเพื่อนของเรา แต่หมายถึงการไม่กระทำการตอบโต้ด้วยความเกลียดชัง เราสามารถป้องกันและตอบโต้ด้วยสติ ปัญญา และด้วยความปรารถนาดี นั่นคือใช้สันติวิธีและอหิงสธรรม ดังที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี เอาชนะอสัตย์ด้วยคำสัตย์ และเอาชนะความตระหนี่ด้วยการให้

    ในยามนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ชาวพุทธจะต้องตั้งมั่นในคำสอนขององค์พระศาสดา การถือเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะจะไร้ความหมายหากเราไม่นำเอาพระธรรมหรือพระจริยาของพระพุทธองค์เป็นเครื่องชี้นำกำกับชีวิต ยิ่งอยู่ท่ามกลางวิกฤตหรือความทุกข์มากเท่าไร ก็ยิ่งต้องอาศัยพระธรรมเป็นที่พึ่งมากเท่านั้น มิใช่เพื่อให้เกิดความอุ่นใจและความสงบเย็นเท่านั้น แต่เพื่อนำไปเป็นแนวทางการปฏิบัติอย่างมีสติและปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

    บทเรียนของศรีลังกาที่เกิดสงครามกลางเมืองมา ๒๖ ปีอาวุธและมีคนตายกว่า ๘๐,๐๐๐ คนแล้ว บอกอะไรเราบ้างหรือไม่? แม้ผู้คนเป็นอันมากจะสนับสนุนให้รัฐบาลศรีลังกาใช้ความรุนแรงอย่างถึงที่สุดเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา แต่คำถามก็คือพระพุทธศาสนาจะตั้งมั่นได้อย่างไรบนซากศพและกองเลือดท่ามกลางความเคียดแค้นพยาบาทที่แผ่ขยายทุกหย่อมหญ้า

    ความรุนแรง และความโกรธเกลียดหาใช่สรณะที่จะพาเราพ้นจากวิกฤตใด ๆ ได้ไม่ มีแต่พระธรรมคำสอนที่น้อมนำสู่การปฏิบัติในชีวิตจริงเท่านั้นที่จะพาเราล่วงพ้นความพ้นทุกข์ทั้งส่วนตนและส่วนรวมได้ในที่สุด
    :- https://visalo.org/article/PosttoDay254810_2.htm
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    ทำความเข้าใจบริโภคนิยม: คู่ปรับของเศรษฐกิจพอเพียง
    พระไพศาล วิสาโล
    การบริโภคเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ในอดีตสิ่งที่ผู้คนทั้งหลายบริโภคนั้น ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ตนผลิตมากับมือ หรือไม่ก็หามาได้ด้วยตนเอง ไม่ว่า อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่บริโภคสิ่งที่ตนไม่ได้ผลิต แต่เมื่อเศรษฐกิจระบบตลาด (market economy)ขยายตัว ทำให้เกิดการซื้อขายกันอย่างแพร่หลาย โดยมีเงินเป็นสื่อกลาง วิถีชีวิตของผู้คนก็เปลี่ยนไป ไม่ว่าชุมชนใดที่เศรษฐกิจแบบตลาดเข้าไปถึง ผู้คนก็เปลี่ยนจากการผลิตเพื่อบริโภคใช้สอยเอง มาเป็นการผลิตเพื่อขาย แล้วเอาเงินที่ได้นั้นไปซื้อของที่ต้องการบริโภคอีกที ในชนบทนั้นสิ่งที่ผู้คนผลิตนั้นเจ้าตัวยังสามารถเอามาบริโภคได้ เช่น ข้าว หรือผัก แต่ถ้าเป็นในเมืองสิ่งที่ผู้คนผลิตส่วนใหญ่เอามาบริโภคได้น้อยมาก เช่น ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ หรือสินค้าบริการ อาทิ ตัดผม ทำบัญชี

    สังคมที่ผู้คนผลิตสิ่งที่ตนไม่ได้บริโภค และบริโภคสิ่งที่ตนไม่ได้ผลิต เราเรียกว่าสังคมบริโภค แต่นี่เป็นเพียงลักษณะเบื้องต้นของสังคมบริโภค ในสังคมแบบดั้งเดิม สิ่งที่ผู้คนบริโภคนั้นมักเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิต ได้แก่ปัจจัยสี่ แม้เพียงเท่านี้ก็ใช่ว่าจะมีบริโภคได้พอเพียงกับความต้องการ บางปีบางช่วงก็อัตคัดขัดสน ด้วยเหตุนี้การอดออม การประหยัดมัธยัสถ์ และการเคารพปัจจัยสี่ โดยเฉพาะอาหาร จึงถือเป็นคุณธรรมสำคัญในสังคมดังกล่าว แต่ในสังคมบริโภค สิ่งที่คนส่วนใหญ่บริโภคนั้น หาใช่สิ่งจำเป็นพื้นฐานไม่ แต่มักเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกให้ความเพลิดเพลิน หรือหรูหราฟุ่มเฟือย เช่น โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์มือถือ เครื่องสำอาง เครื่องประดับ แม้แต่อาหารก็ไม่ได้กินเพื่อประทังชีวิต แต่เพื่อความเอร็ดอร่อย เพื่อแสดงสถานภาพ หรือเพื่อสังสรรค์บันเทิง ขณะเดียวกันการใช้เวลาว่างก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่ผู้คนใช้เวลาว่างด้วยการทอผ้า สานตะกร้า หรือร้องรำทำเพลง ก็เปลี่ยนมาเป็นการจับจ่ายใช้สอยหรือบริโภคสิ่งที่ให้ความเพลิดเพลิน เช่น เดินห้าง ท่องเที่ยว ดูโทรทัศน์ ฟังเพลง ชมคอนเสิร์ต ในสังคมบริโภค การประหยัดมัธยัสถ์ถูกลดความสำคัญลง การอวดมั่งอวดมี การประชันขันแข่งด้วยวัตถุสิ่งเสพ หรือการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย กลายเป็นค่านิยมที่แพร่หลาย ซึ่งแม้แต่รัฐบาลก็สนับสนุนด้วยการออกนโยบายต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นผู้คนให้บริโภคมาก ๆ

    จะเห็นได้ว่า เงินและวัตถุสิ่งเสพมีความสำคัญอย่างมากต่อวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมบริโภค และเมื่อมองให้ลึกลงไป จะพบว่าสิ่งที่เป็นรากเหง้าของวิถีชีวิตดังกล่าวก็คือ ความเชื่อว่าความสุขนั้นจะได้มาก็ด้วยการบริโภค ยิ่งบริโภคหรือมีวัตถุสิ่งเสพมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ด้วยเหตุนี้การแสวงหาเงินตราและครอบครองวัตถุสิ่งเสพให้ได้มากที่สุดจึงเป็นจุดหมายสูงสุดของผู้คนในสังคมบริโภค

    ทัศนคติแบบวัตถุนิยมจึงเกิดขึ้นควบคู่กับสังคมบริโภค อย่างไรก็ตามทัศนคติแบบวัตถุนิยมในสังคมบริโภคนั้นมีลักษณะพิเศษตรงที่เน้นหนักและแสดงออกด้วยการบริโภคเป็นด้านหลัก โดยถือว่าการครอบครองวัตถุนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับการบริโภคให้ผู้อื่นได้เห็น หรือแสดงออกด้วยการอวดมั่งอวดมีให้เป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้เพราะการบริโภคนั้นมิได้มีจุดหมายเพียงเพื่อความสุขทางกายเท่านั้น หากยังมีจุดหมายเพื่อแสดงออกซึ่งตัวตน ทั้งเพื่อตอกย้ำแก่ตัวเอง และเพื่อให้ผู้อื่นรับรู้

    นอกจากนั้นสิ่งที่ผู้คนนิยมบริโภคก็มิได้จำกัดเฉพาะวัตถุที่จับต้องได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริการและประสบการณ์ต่าง ๆ (เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ท่องเที่ยว เล่นเกม หรือผจญภัย ) อีกทั้งยังนิยมเสพสัญลักษณ์ต่าง ๆ (เช่น ยี่ห้อหรือโลโก้สินค้าชื่อดัง) ดังเห็นได้ว่าในหมู่ผู้ที่มีฐานะจะให้ความสำคัญกับยี่ห้อหรือแบรนด์ของสินค้ามาก หากเป็นแบรนด์ดัง ไม่ว่าสินค้าจะมีกี่รุ่นกี่แบบ ก็ต้องการซื้อหามาใช้ และแม้จะเอาแบรนด์นั้นไปประทับกับสินค้าชนิดใดก็ตาม ทั้ง ๆ ที่แตกต่างกันมาก เช่น น้ำหอม รองเท้า เสื้อยืด ปากกา ก็จะยังได้รับความนิยมอยู่นั่นเอง
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    (ต่อ)
    เมื่อสังคมบริโภคพัฒนามาถึงจุดนี้ ยี่ห้อหรือแบรนด์จะมีสำคัญต่อผู้คนมากกว่าคุณสมบัติทางกายภาพของสินค้าด้วยซ้ำ ทั้งนี้เพราะยี่ห้อหรือแบรนด์นั้นเป็นสัญลักษณ์หรือตัวแทนคุณสมบัติบางอย่างที่ผู้บริโภคปรารถนาจะมีไว้กับตัว ในยุคที่ผู้คนมีสิ่งเสพสิ่งบริโภคมาปรนเปรอมากมาย ความต้องผู้บริโภคจะไม่พอใจเพียงแค่ความสะดวกสบายทางกายหรือความเพลิดเพลินทางประสาททั้งห้า เท่านั้น หากยังต้องการมากกว่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องของความสุขทางใจเป็นสำคัญ ได้แก่การได้เป็นอะไรบางอย่าง ที่พึงปรารถนา หากความต้องการสิ่งเสพมาปรนเปรอทางประสาททั้งห้า เรียกว่า กามตัณหา ความต้องการที่จะเป็นอะไรบางอย่างที่พึงปรารถนา ก็เรียกว่า ภวตัณหา

    ยี่ห้อหรือแบรนด์มีความสำคัญในสังคมบริโภค ก็เพราะผู้คนเชื่อว่ามันสามารถตอบสนองภวตัณหาได้ หากเป็นยี่ห้อหรือแบรนด์ชื่อดัง เพราะยี่ห้อเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นสัญลักษณ์แทนคุณสมบัติบางอย่างที่ผู้คนอยากมีอยากเป็น เช่น เป็นสัญลักษณ์แทนความทันสมัย ความมีรสนิยม ความฉลาดปราดเปรียว หรือถูกนำมาเชื่อมโยงแนบแน่นกับความเก่ง ความเป็นผู้ชนะ ความเป็นไทย ทั้งนี้โดยอาศัยการโฆษณา (เช่น นำเสนอสินค้าตัวนั้นคู่เคียงกับวัฒนธรรมไทย หรือให้คนเก่งคนดังมาเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าตัวนั้น) โฆษณาที่ประสบความสำเร็จ ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกในส่วนลึกทันทีว่าตนได้เป็นอะไรบางอย่างที่พึงปรารถนาเมื่อได้บริโภคสินค้าที่มียี่ห้อหรือแบรนด์เนมดังกล่าว

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อได้เสพอย่างเต็มที่จนถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดวามสับสนในตัวเองขึ้นมาว่า อะไรคือตัวตนที่แท้จริงของตน ดังได้กล่าวแล้วว่า การบริโภคของคนจำนวนไม่น้อยมีจุดมุ่งหมายก็เพื่อการสร้างตัวตนใหม่ หรือเปลี่ยนตัวตนให้เป็นไปตามใจปรารถนา เช่น เป็นคนทันสมัย เป็นคนมีระดับ เป็นผู้ชนะ บางคนถึงกับผ่าตัดเปลี่ยนแปลงทรวดทรงของตนเพื่อให้เป็น “คนใหม่” ปัญหาก็คือผู้ผลิตซึ่งต้องการขายสินค้าของตน จะกระตุ้นผู้บริโภคให้มีความต้องการตัวตนใหม่ ๆ อยู่เสมอ หรือต้องการตัวตนหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เช่น เป็นคนไทยที่นิยมไทย เป็นคนมีบุคลิกมาดมั่น มีความเป็นผู้นำ ทันยุคโลกาภิวัตน์ ฯลฯ การเปลี่ยนตัวตนด้วยการบริโภคโดยนัยนี้จึงไม่ต่างจากการเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ยิ่งพยายามเปลี่ยนมากเท่าไร ในที่สุดก็ยิ่งไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของตนคืออะไร อีกทั้งยังสับสนระหว่างสิ่งที่เรียกว่าตัวตนกับภาพลักษณ์ และระหว่างเนื้อหากับรูปแบบ สิ่งที่ตามมาก็คือความแปลกแยกกับตัวเอง ผลก็คือแม้รอบตัวจะเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ภายในจิตใจกลับรู้สึกว่างเปล่าและเคว้งคว้าง
    :- https://visalo.org/article/PosttoDay254912.htm
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    JitOnlyBaby.jpg
    สงบได้เมื่อใจยอมรับ

    พระไพศาล วิสาโล
    คนส่วนใหญ่ทุกข์ก็เพราะ ๒ เรื่อง เรื่องที่เป็นอดีตกับเรื่องที่เป็นอนาคต เวลาเราทุกข์เพราะของหาย ทุกข์เพราะถูกตำหนิ ทุกข์เพราะแฟนตีจาก เหตุการณ์เหล่านั้นล้วนแต่เป็นอดีต แต่พอนึกถึงมันก็ทำให้เราทุกข์ ถ้าไม่ทุกข์เพราะอดีต ก็ทุกข์เพราะอนาคตหรือเรื่องราวที่ยังมาไม่ถึง เวลาเราทุกข์เมื่อเจอรถติด เราไม่ได้ทุกข์เพราะอากาศร้อน เราไม่ได้ทุกข์เพราะที่นั่งมันแข็งกระด้าง แต่เราทุกข์เพราะกำลังกังวลว่าจะไปทำงานสาย ไม่ทันประชุม หรือไม่ก็คอยลุ้นว่า เมื่อไรจะถึง ๆ ๆ ตัวอยู่บนรถ แต่ใจไปอยู่ที่จุดหมายปลายทางแล้ว ก็เลยทุกข์ อันนี้เรียกว่าทุกข์ใจเพราะไปอยู่กับอนาคต แต่ถ้าเรามีสติ รู้ทันจิตใจว่ากำลังอยู่กับอดีตและอนาคต สติจะพาเรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน ไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ผ่านไปแล้วหรือเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ทำให้ใจเป็นปกติได้

    ทุกวันนี้ผู้คนไม่ค่อยมีความสุขก็เพราะใจเผลอคิดเรื่องอดีตกับอนาคต แต่ถ้ามีสติเมื่อใด ใจก็จะหวนกลับมาอยู่กับปัจจุบัน แล้วเป็นทุกข์เพราะอดีตหรืออนาคตน้อยลง มีเหมือนกันที่บางครั้งเราไม่ได้ทุกข์เรื่องอดีตหรืออนาคต แต่ทุกข์อยู่กับปัญหาที่เผชิญหน้าอยู่ในปัจจุบัน เช่นความเจ็บป่วยไข้ อันนี้เป็นเรื่องเฉพาะหน้า แต่ขอให้สังเกต เราไม่ได้ทุกข์เพราะความเจ็บป่วย แต่เป็นเพราะใจที่ปฏิเสธต่อต้านผลักไสความเจ็บป่วยมากกว่า เมื่อใดที่ใจต่อต้าน ผลักไส อะไรก็ตาม ความทุกข์ก็ตามมาทันที กับงานการก็เช่นกัน เราไม่ได้ทุกข์เพราะงาน แต่ทุกข์เพราะใจที่ปฏิเสธต่อต้านงานนั้น เรามักคิดว่าเราทุกข์เพราะสิ่งที่เผชิญอยู่เฉพาะหน้า ที่จริงไม่ใช่ มันเป็นเพราะเราวางใจไม่ถูกต่างหาก พูดง่าย ๆ คือเป็นเพราะใจเรานั่นเอง

    เวลาเราเจองานซึ่งไม่ใช่เป็นงานของเรา เรากำลังจะกลับบ้านอยู่แล้ว แต่เจ้านายขอให้เราทำงานชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นของคนอื่น เรารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเลยใช่ไหม บ่นอุบอิบหรือตีโพยตีพายว่า มันไม่ยุติธรรม ทำไมต้องเป็นฉัน ถ้ามีความรู้สึกแบบนี้เราจะทำงานด้วยความทุกข์ ความทุกข์นั้นไม่ได้เกิดจากงานชิ้นนั้น แต่เป็นเพราะใจของเราเองที่ต่อต้านหรือปฏิเสธงานนั้น ลองมีสติรู้ทัน หรือเลิกบ่นเลิกตีโพยตีพาย ยอมรับงานชิ้นนั้นและทำงานอย่างเต็มที่ เราจะไม่ทุกข์เลย ไม่รู้สึกว่างานนั้นยุ่งยากหรือหนักหนาอะไร ทำได้สบายมาก ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเวลาทำงานนั้น มักเกิดจากใจที่บ่นกระปอดกระแปดว่าไม่ไหว ๆ ไม่ยุติธรรม ทำไมต้องเป็นฉัน ทันทีที่คุณมีความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้น คุณจะเป็นทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์เพราะงาน แต่ทุกข์เพราะใจที่เป็นลบมากกว่า

    มีการศึกษาพบว่าเวลาถูกฉีดยา ถ้าคุณกลัวเข็มฉีดยา ทันทีที่ถูกเข็มแทง ความเจ็บจะเพิ่มเป็น ๓ เท่าของคนที่ไม่กลัว อันนี้เป็นเพราะความกลัวในใจ ทำให้ใจปฏิเสธต่อต้านเข็มนั้น แต่ถ้าเราวางใจให้เป็นกลาง ยอมรับมัน ก็จะไม่รู้สึกปวดเท่าไหร่ รู้สึกว่าพอทนได้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ขณะที่เรากำลังนั่งสมาธิอยู่ มียุงมาเกาะที่แขนเรา จะปัดก็ไม่ได้ แต่ถ้าใจเราปฏิเสธยุงตัวนั้น รู้สึกแขยง หรือกลัวเจ็บ ทันทีที่มันกัดเรา เราจะรู้สึกปวดจนอยากจะปัดหรือตบมันด้วยซ้ำ แต่ถ้าเราทำใจยอมรับมัน รู้ทันความกลัวหรือความรู้สึกรังเกียจ พอถูกกัดเราจะไม่ค่อยรู้สึกปวดเท่าไหร่ พูดอีกอย่างหนึ่ง จะปวดมากหรือน้อย อยู่ที่ใจเรานั่นเอง

    การทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ใจเราสงบลง ไม่ทุกข์อะไรง่าย ๆ แม้บางครั้งสิ่งที่เผชิญนั้นจะอันตรายหรือดูน่ากลัวก็ตาม

    มีผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เคยไปว่ายน้ำที่เกาะสมุย ว่ายอยู่ดี ๆ ก็พบว่าตัวเองถูกกระแสน้ำพัดไกลจากฝั่งออกไปทุกที เธอพยายามว่ายน้ำเข้าฝั่ง แต่ว่ายเท่าไหร่ก็ยิ่งไกลจากฝั่งมากขึ้น เธอตกใจมากร้องตะโกนขอให้เพื่อนช่วย เพราะถูกพัดออกทะเลไกลขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากอยู่กลางกระแสน้ำที่เชี่ยวแรงมาก เพื่อน ๆ พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ก็พยายามว่ายไปช่วยเธอ แต่พอว่ายได้สักพักก็รู้สึกว่ากระแสน้ำแรงมาก จึงเปลี่ยนใจ พยายามว่ายกลับเข้าฝั่ง
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    (ต่อ)
    ตัวเธอเองยิ่งว่ายเข้าฝั่ง ก็ยิ่งเหนื่อย แถมไกลฝั่งออกไปเรื่อย ๆ จึงรู้ว่าไม่มีประโยชน์ ตอนนั้นรู้เลยว่าคงไม่รอดแล้ว แต่แทนที่จะตื่นตกใจ เธอกลับรู้สึกสงบ เพราะทำใจได้ว่า ถ้าจะตายก็ต้องตาย พอทำใจได้เธอก็ปล่อยวาง อยู่เฉย ๆ ลอยคอนิ่ง ๆ ไม่ฝืนว่ายต่อไป ตอนนั้นเธอรู้สึกสงบมาก ผ่านไปพักใหญ่ก็พบว่าตัวเองถูกคลื่นซัดเข้าหาฝั่งทีละน้อย ๆ เพื่อนเห็นเช่นนั้น ก็ว่ายออกมาช่วยเธอ พาขึ้นฝั่งได้ในที่สุด หลังจากนั้นเธอก็มารู้ว่าตรงที่เธอว่ายน้ำนั้นมีกระแสน้ำเชี่ยวมากที่เกิดจากคลื่นกระทบฝั่ง ไม่มีใครที่สามารถว่ายทวนกระแสน้ำได้ ส่วนใหญ่ตายเพราะหมดแรง ที่เธอรอดมาได้ก็เพราะทำตัวนิ่ง ๆ ไม่ฝืนว่ายด้วยความตื่นตระหนก และที่เธอทำตัวนิ่งได้ก็เพราะยอมรับความตายได้ ไม่ขัดขืนหรือต่อสู้กับมัน

    เวลาเจอเหตุร้ายที่หนีไม่พ้น ไม่มีอะไรดีกว่าการยอมรับมันด้วยใจสงบ บ่อยครั้งการทำเช่นนั้นกลับทำให้รอดตายด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามการพยายามต่อสู้ขัดขืน กลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง จนอาจไม่รอดก็ได้

    ผู้หญิงอีกคนหนึ่งเล่าว่า ขณะที่กำลังขับรถบนทางด่วนด้วยความเร็วสูง พอผ่านทางโค้งก็เห็นข้างหน้ามีรถติดเป็นแพ เธอเริ่มชะลอความเร็ว แต่พอมองกระจกหลัง ก็เห็นว่ารถคันหลังไม่ชะลอ กลับแล่นตรงเข้ามาเต็มที่ เธอรู้เลยว่าเธอกำลังถูกอัดก๊อปปี้ ความคิดตอนนั้นบอกเธอว่าคงไม่รอด

    ตอนรู้ตัวว่าจะไม่รอดเธอสังเกตว่ามือกำพวงมาลัยอยู่แน่นมาก เธอคิดขึ้นมาว่าเครียดแบบนี้มาทั้งชีวิตแล้ว ถ้าจะตายก็ขอตายแบบผ่อนคลาย เลยปล่อยมือจากพวงมาลัย นั่งอย่างผ่อนคลาย หลับตา แล้วก็มาจดจ่ออยู่กับลมหายใจ จากนั้นก็มีเสียงดังสนั่น แล้วเธอก็หมดความรู้สึกตัว มารู้ตัวอีกทีตอนที่ตำรวจช่วยดึงเธอออกมาจากรถ ตำรวจแปลกใจมากที่เธอรอดมาได้โดยไม่เป็นอันตรายอะไรทั้ง ๆ ที่รถพังยับเยินทั้งหน้าและหลัง แต่หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของเธอ ตำรวจก็บอกว่าถ้าคุณเกร็งตอนนั้นคุณคงไม่รอด เพราะถ้าเธอตัวเกร็ง ก็จะต้องเจอแรงกระแทกเต็มที่

    เธอบอกว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เปลี่ยนชีวิตของเธอ ทำให้เธอกลายเป็นคนที่ผ่อนคลายและปล่อยวางมากขึ้น ไม่เคร่งเครียดหรือเอาเป็นเอาตายกับสิ่งต่าง ๆ เธอได้เห็นคุณค่าของการปล่อยวางมากขึ้น ตัวอย่างจากผู้หญิงคนนี้ชี้ว่า การยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น แม้กระทั่งความตายนั้น ไม่เพียงทำให้ใจสงบเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยให้รอดตายได้ด้วย

    ประเด็นที่อยากจะเน้นคือคนเราเมื่อเจอเหตุการณ์ไม่พึงปรารถนา แทนที่จะต่อสู้ขัดขืน อย่างแรกที่ควรทำคือยอมรับมัน ไม่ปฏิเสธหรือต่อสู้ขัดขืน อย่างน้อย ๆ มันช่วยทำให้เราทุกข์ใจน้อยลง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นของหาย งานหนัก หรือความเจ็บป่วย เมื่อเจ็บป่วยแล้วบ่นตีโพยตีพาย คุณจะทุกข์กว่าเดิม ไม่ใช่แค่ทุกข์กายเท่านั้น แต่ทุกข์ใจด้วยแต่ถ้ายอมรับว่าเมื่อความป่วยเกิดขึ้นกับเราแล้ว ป่วยการที่จะตีโพยตีพายหรือปฏิเสธมัน แทนที่จะตีโพยตีพาย ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะมาพิจารณาว่าจะรักษาตัวอย่างไรให้หายป่วย

    การยอมรับไม่ใช่การยอมจำนน แต่หมายถึงการยอมรับความจริงว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ เสียเวลาหรือเสียอารมณ์ด้วยการตีโพยตีพายโวยวาย แต่เราจะยอมรับความจริงได้ก็ต้องมีสติรู้ทันใจของตัวเอง เพราะปฏิกิริยาแรกของใจก็คือการโวยวาย ต่อสู้ ขัดขืน ผลักไส เป็นธรรมดาของใจเมื่อเจอสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ใจก็จะผลักไสต่อต้านเป็นอย่างแรก ถ้าหนีไม่ได้ก็จะผลักไส แต่ถ้ามีสติรู้ทันอาการดังกล่าว มันก็จะคลายไป ช่วยทำให้ใจเราสงบ เพราะความสงบเกิดจากการยอมรับ แต่ถ้าเราดิ้นขัดขืนเมื่อไหร่ใจจะเป็นทุกข์ เร่าร้อน ทันที
    :- https://visalo.org/article/PosttoDay255401.htm

     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    เด็กมิใช่แก้วเปล่า
    พระไพศาล วิสาโล
    การศึกษามีความหมายมากกว่าการสอน หรือการ “ใส่”อะไรเข้าไปในตัวเด็ก แต่หมายถึงการส่งเสริมให้เกิดการเจริญเติบโตจากภายใน จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องเชื่อมั่นเสียก่อนว่าเด็กนั้นมี “อะไร” อยู่ในตัวเขาอยู่แล้ว ภารกิจของพ่อแม่หรือครูก็คือการทำให้สิ่งนั้นเจริญงอกงาม ขณะเดียวกันก็นำเอาสิ่งนั้นออกมาให้เกิดประโยชน์สร้างสรรค์ สิ่งที่ว่านั้นได้แก่ ปัญญาและคุณธรรม

    มนุษย์ทุกคนมีเมล็ดพันธ์แห่งปัญญาและคุณธรรมอยู่แล้วในใจ ด้วยเหตุนี้เด็กทุกคนจึงมีความใฝ่รู้และใฝ่ดี หน้าที่ของการศึกษาคือกระตุ้นและส่งเสริมความใฝ่รู้และใฝ่ดีให้เจริญงอกงาม เหมือนเมล็ดพันธุ์น้อย ๆ ที่ถูกกระตุ้นและส่งเสริมจนเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขา และหยั่งรากลึก ให้ดอกไม้ที่งดงามและผลไม้ที่หอมหวานแก่สรรพชีวิต น่าเสียดายที่การศึกษาทุกวันนี้ได้ทำลายความใฝ่รู้และใฝ่ดีในตัวเด็ก ทั้งนี้เพราะผู้ใหญ่พยายามยัดเยียดอะไรต่ออะไรให้เขา ซึ่งบางครั้งกลายเป็นการควบคุมปิดกั้นมิให้เขาเติบโตจากภายใน

    นอกจากความใฝ่รู้และความใฝ่ดีแล้ว เด็กยังมีศักยภาพหรือความสามารถที่แฝงเร้นต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น ความสามารถในทางศิลปะ ความสามารถในทางกีฬา โดยที่เด็กเองอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนมี หน้าที่ของครูหรือพ่อแม่คือช่วยดึงเอาความสามารถนั้นออกมา ตรงนี้เป็นเรื่องของศิลปะที่ครูและพ่อแม่ต้องเรียนรู้และต้องอาศัยความอดทนไปพร้อมกัน บางครั้งเพียงแค่คำชมและการให้กำลังใจก็สามารถกระตุ้นให้ศักยภาพดังกล่าวออกมาได้

    เมื่อปีที่แล้วข้าพเจ้าได้ไปดูงานของมูลนิธิฉือจี้ ในประเทศไต้หวัน มัคคุเทศก์ได้เล่าถึงเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งซึ่งไม่เอาใจใส่ในการเรียนเลย มีกิจกรรมใด ๆ ในชั้นเรียนก็ไม่เคยให้ความร่วมมือ การบ้านก็ทำอย่างขอไปที ครูกระตุ้นเท่าไรก็ไม่ได้ผล มีคราวหนึ่งครูให้นักเรียนวาดภาพ นักเรียนคนนี้ก็ทำตัวเหมือนเดิม คือไม่สนใจ ครูพยายามกระตุ้น แต่นักเรียนก็นิ่งเฉย จนครูขอร้องว่าให้ลองวาดภาพอะไรก็ได้ แค่ตวัดพู่กันเป็นวงกลมก็ยังดี นักเรียนทนครูรบเร้าไม่ไหว จึงตวัดพู่กันเป็นวงกลม ครูเห็นก็ชมด้วยความตื่นเต้นว่า นักเรียนวาดได้ดีมาก และขอให้วาดอีก นักเรียนเกิดมีกำลังใจขึ้นมาจึงตวัดพู่กันอีกภาพหนึ่ง แล้วก็อีกภาพหนึ่ง ๆ ๆ ยิ่งทำก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ

    นับแต่วันนั้นนักเรียนได้ฝึกตวัดพู่กันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพมีคุณภาพดีขึ้นมากจนได้รับการคัดเลือกให้ออกแสดงในงานนิทรรศการของโรงเรียน ในวันแสดงนิทรรศการ นักเรียนผู้นี้สังเกตเห็นเด็กคนหนึ่งยืนจ้องภาพวาดของตัว เจ้าของภาพจึงเดินไปคุยกับเด็กน้อย เด็กน้อยแสดงความชื่นชมภาพนั้น แต่ก็ออกตัวว่าตนเองคงไม่มีปัญญาวาดได้เช่นนั้น ผู้เป็นเจ้าของภาพได้ยินเช่นนั้นจึงให้กำลังใจเด็กน้อยว่า เธอทำได้แน่นอน เธอมีความสามารถอยู่แล้ว ขอให้มีความเพียรก็แล้วกัน

    นี้เป็นตัวอย่างที่ชี้ว่าเราทุกคนมีศักยภาพในการสร้างสรรค์สิ่งประเสริฐ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าศักยภาพดังกล่าวจะถูกดึงออกมาได้มากน้อยเพียงใด ความดีและความใฝ่ดีเป็นศักยภาพอย่างหนึ่งของมนุษย์ หัวใจของการศึกษาคือการดึงเอาความดีและความใฝ่ดีให้ออกมาเพื่อสร้างสรรค์คุณประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นให้ได้มากที่สุด

    อยากย้ำว่าคนเรานั้นเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ หรือคนแก่ จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะการเรียนรู้เป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์ เห็นได้ชัดจากเด็ก ๆ ซึ่งไม่เพียงตั้งคำถามจากสิ่งรอบตัวอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น หากยังเรียนรู้จากทุกอย่างที่แลเห็น ได้ยิน และสัมผัส ไม่ว่าเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    (ต่อ)
    พฤติกรรมและความรู้สึกนึกคิดของเรานั้นล้วนเป็นผลจากการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เราจะมีพฤติกรรมและจิตนิสัยไปในทางไหน ขึ้นอยู่ว่าเราเรียนรู้อย่างไร การเรียนรู้ที่ถูกต้องย่อมนำไปสู่ชีวิตที่ดีงาม ในทางตรงข้ามการเรียนรู้ที่ไม่ถูกต้องสามารถนำพาชีวิตไปสู่ความทุกข์ได้ ทุกวันนี้คนเป็นอันมากเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากโทรทัศน์ แต่เป็นการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการบริโภคและนิยมความรุนแรง ในขณะที่เด็กจำนวนไม่น้อยเรียนรู้การเอาแต่ใจตนเองจากพ่อแม่หรือจากประสบการณ์ในบ้าน การเรียนรู้ในลักษณะนั้นย่อมไม่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเลย

    ชีวิตที่ดีงามและเป็นสุขเกิดจากการเรียนรู้ที่ถูกต้อง และการเรียนรู้นั้นก็ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ห้องเรียน โลกรอบตัวของเด็กต่างหากคือแหล่งเรียนรู้ที่แท้จริงของเด็ก ไม่เว้นแม้แต่ศูนย์การค้า สำนักงาน และท้องถนน เด็กนั้นพร้อมจะเรียนรู้อยู่แล้ว สิ่งที่เด็กต้องการก็คือผู้ชี้แนะหรือกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ที่ถูกต้อง ตรงนี้เองที่พ่อแม่และครูสามารถจะมีบทบาทอย่างสำคัญ

    การสอนด้วยการพูดให้เด็กคล้อยตามหรือท่องจำนั้น มีความสำคัญน้อยกว่าการกระตุ้นให้เด็กรู้จักคิดอย่างถูกทาง บทบาทของพ่อแม่และครูมิใช่ผู้ให้คำตอบ แต่เป็นผู้หมั่นตั้งคำถามกับลูกและศิษย์ การถามเขาว่าพ่อแม่จะรู้สึกอย่างไรหากมีรอยเท้าเปื้อนโคลนเข้ามาในบ้าน ย่อมให้ผลดีต่อเด็กมากกว่าการบอกเขาอย่างเบ็ดเสร็จว่าการกระทำดังกล่าวไม่ดีอย่างไร

    การเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้เด็กมีส่วนร่วม เช่น ได้ฝึกคิด ฝึกทำ นั้นย่อมให้ผลที่ยั่งยืนกว่าการเรียนรู้ที่ให้เด็กเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว คือรับฟังโดยไม่ต้องคิดหรือปริปากถาม ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะถูกฝึกให้เป็นฝ่ายรับอย่างเดียวมาตั้งแต่เล็ก เราจึงรับเอาสิ่งไม่ดีหลายอย่างจากโทรทัศน์และสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมาอย่างง่ายดาย โดยไม่รู้จักย่อย แยกแยะ วิเคราะห์ หรือตั้งคำถามเลย ในทำนองเดียวกันเมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา เช่น คำวิจารณ์ หรือความพลัดพรากสูญเสีย เราก็ปล่อยใจให้เป็นทุกข์ไปได้ง่าย ๆ แทนที่จะมองให้เห็นถึงแง่ดีหรือประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้น

    การเรียนรู้แบบเป็นฝ่ายรับในที่สุดแล้วทำให้ชีวิตของเราถูกกำหนดโดยสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างเดียว จะสุขหรือทุกข์ก็เพราะสิ่งแวดล้อม ทั้ง ๆ ที่เราสามารถรักษาจิตให้เป็นอิสระจากความผันผวนปรวนแปรของโลกรอบตัวได้หากมีปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้อย่างถูกต้อง

    :- https://visalo.org/article/PosttoDay255301.htm
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    42,139
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,022
    พรุ่งนี้อาจไม่มีเขา
    พระไพศาล วิสาโล
    หลังจากที่ “หมวย” เรียนจบพยาบาลได้ไม่นาน ป้าก็ป่วยหนักและมารักษาตัวที่โรงพยาบาลของเธอ ป้าผู้นี้มีบุญคุณกับเธอมากเพราะได้ดูแลเธอแทนแม่จนเธอเรียนจบชั้นมัธยม หลังจากที่ย้ายไปเรียนจังหวัดอื่น เธอแทบไม่ได้พบหน้าป้าอีกเลยจนกระทั่งป้าล้มป่วย แต่ช่วงที่ป้ารักษาตัวที่ห้องไอซียูนั้น เธอมีเวลาไปเยี่ยมป้าน้อยมากเพราะงานรัดตัว ตั้งใจว่าวันเสาร์อาทิตย์จะไปเยี่ยมป้า แต่แล้วเพื่อน ๆ ก็ชวนเธอไปเที่ยวพัทยา เธออยากเล่นน้ำทะเลอยู่แล้ว จึงตัดสินใจไปเที่ยวกับเพื่อน คิดว่าเช้าวันจันทร์ไปเยี่ยมป้าก็ยังไม่สาย แต่พอเธอกลับถึงบ้านค่ำวันอาทิตย์ ก็ได้ข่าวว่าป้าเสียชีวิตแล้ว ผ่านมานับสิบปีแล้วเธอก็ยังรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปดูแลป้า ทั้ง ๆ ที่เป็นพยาบาลดูแลคนอื่นได้มากมาย แต่กลับไม่มีเวลาให้กับผู้มีพระคุณ

    ตอนเรียนมัธยม “สมใจ” สนิทสนมกับ “ชัย”มาก แต่เมื่อเรียนจบทั้งสองก็แยกย้ายกันไปเรียนมหาวิทยาลัยคนละแห่ง มีช่วงหนึ่งที่ชัยโทรศัพท์มาคุยกับเธอแทบทุกคืน แต่ละครั้งคุยนานมาก คืนหนึ่งเธอรู้สึกเพลีย อยากพักผ่อน แต่ชัยก็ยังไม่เลิกคุย เธอรำคาญจึงพูดตัดบท แต่เขาก็ยังคุยต่อ เธอจึงต่อว่าเขาด้วยความโมโห แล้ววางหู วันรุ่งขึ้นขณะที่เธอกำลังเดินเข้าห้องเรียน แม่ของชัยก็โทรศัพท์มาบอกว่าชัยเสียชีวิตแล้วจากอุบัติเหตุรถยนต์หลังจากคุยกับเธอได้ไม่นาน เธอตกใจและรู้สึกเสียใจมากที่พูดไม่ดีกับชัยเมื่อคืน มันเป็นเสมือนบาดแผลในใจที่ยังอยู่จนทุกวันนี้


    ทั้งหมวยและสมใจพูดตรงกันว่า หากรู้ว่าคนที่เธอรักจะต้องจากไปอย่างกะทันหันเช่นนั้น เธอจะไม่ทำอย่างที่ได้ทำไป หมวยจะใช้เวลาอยู่กับป้าให้นานที่สุดและอย่างดีที่สุด ส่วนสมใจก็จะพูดคุยกับชัยด้วยความใส่ใจและอย่างนุ่มนวล แต่ในโลกนี้มีใครบ้างที่สามารถรู้อนาคตล่วงหน้า

    ความตายของคนที่เรารักมักจะมาอย่างไม่คาดฝัน มันพร้อมจะมาได้ทุกเวลา และไม่เลือกว่าจะเกิดกับผู้ใหญ่ก่อนเด็ก ใครที่มองข้ามความจริงข้อนี้ จะต้องพบกับความเสียใจอย่างสุดซึ้ง มิใช่เพียงเพราะคนรักจากไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเขาได้พลั้งเผลอทำสิ่งที่ไม่สมควร(หรือไม่ได้ทำสิ่งที่สมควร)กับผู้ที่จากไป โดยไม่มีโอกาสขอโทษหรือแก้ตัวได้เลย สิบปีอาจนานพอที่จะเยียวยาความเศร้าใจที่สูญเสียคนรักไป แต่ยากจะลบเลือนความรู้สึกผิดที่ได้ทำสิ่งไม่สมควรกับคนรัก

    หากไม่อยากมีบาดแผลในใจ ก็ควรปฏิบัติต่อคนที่เรารักอย่างดีที่สุด อ่อนโยนและใส่ใจกับความรู้สึกของเขาให้มาก ๆ แต่ปัญหาก็คือยิ่งเราสนิทสนมคุ้นเคยกับใคร เราก็ยิ่งคำนึงถึงความรู้สึกของเขาน้อยลง และทำตามอารมณ์ของเรามากขึ้น (ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคย เรามักจะสุภาพและนุ่มนวลกับเขามากกว่า) ผลก็คือเรามักจะลืมตัวทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรกับเขา

    ความลืมตัวเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ช่วยไม่ให้เผลอทำสิ่งที่ไม่สมควรกับคนที่เรารัก นั่นคือการเตือนใจตนเองเสมอว่าพรุ่งนี้เขากับเราอาจจะต้องพรากจากกัน วันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่เขากับเราจะได้อยู่ด้วยกัน ขณะที่เขากำลังอยู่ต่อหน้าเราตอนนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้ทำสิ่งดี ๆ ให้แก่เขา

    การเตือนใจเช่นนี้จะกระตุ้นเตือนให้เราปฏิบัติต่อเขาอย่างนุ่มนวล ไม่ทำตามอำเภอใจ รับฟังและใส่ใจกับความรู้สึกของเขามากขึ้น เมื่อเราทำอย่างดีที่สุดกับเขา หากใครเกิดมีอันเป็นไปในวันข้างหน้า ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องรู้สึกผิดต่อกัน จะว่าไปแล้วการเตือนใจเช่นนี้ไม่ควรทำเฉพาะกับคนที่เรารักเท่านั้น แต่ควรทำกับทุกคนที่เรารู้จักหรือติดต่อสัมพันธ์ด้วย

    คราวหนึ่ง “เขมานันทะ” ได้จาริกไปประเทศพม่า และได้รู้จักกับพระไทยใหญ่รูปหนึ่ง เมื่อไปถึงเจดีย์ชเวดากอง ท่านได้ชวนเขมานันทะถ่ายรูปคู่กัน แต่เขมานันทะนั้นไม่ชอบธรรมเนียมแบบนี้จึงเดินหนี แต่พระไทยใหญ่ขอร้องให้เขาไปถ่ายรูปด้วย คำพูดประโยคเดียวของท่านที่ทำให้เขมานันทะเปลี่ยนใจก็คือ “ชีวิตนี้เราอาจได้พบกันเพียงครั้งเดียว” เขมานันทะจึงยอมถ่ายรูปด้วย หลังจากเขมานันทะกลับมาเมืองไทยไม่นานก็มีจดหมายมาแจ้งข่าวว่า พระไทยใหญ่รูปนั้นมรณภาพแล้ว เขมานันทะเล่าในเวลาต่อมาว่าคำพูดประโยคนั้นสะเทือนอารมณ์ของตนมาก เพราะทำให้ได้คิดว่าคนเราเอาแต่แบ่งแยกเป็นเราเป็นเขา มัวแต่แก่งแย่งผลประโยชน์กัน จนลืมไปว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเราอาจได้พบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

    การปฏิบัติต่อผู้คนที่เข้ามาในชีวิตของเราราวกับว่าเขาอาจพลัดพรากจากเราไปในวันพรุ่งนี้ ไม่เพียงช่วยป้องกันมิให้เกิดบาดแผลในใจเราในวันข้างหน้าเท่านั้น หากยังช่วยสร้างสุขให้แก่เราในวันนี้ อันเป็นผลจากสัมพันธภาพที่ราบรื่นและงดงามทั้งกับคนใกล้และคนรอบตัว ยิ่งกว่านั้นมันยังทำให้ทุกวันที่คนรักยังอยู่กับเราเป็นวันที่มีความหมายยิ่งกว่าเดิม วันนี้จะกลายเป็นวันพิเศษ เพราะวันพรุ่งนี้อาจไม่มีเขาอยู่กับเราก็ได้

    หญิงผู้หนึ่งเล่าว่า เพียงแค่ได้เห็นสามีและลูก ๆ ทุกคนพร้อมหน้าที่บ้าน เธอก็มีความสุขอย่างยิ่งแล้ว เพราะเธอไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้จะมีโอกาสแบบนี้อีกหรือไม่ สำหรับเธอ ไม่มีอะไรที่ทำให้มีความสุขเท่านี้อีกแล้ว

    ความสุขนั้นไม่ได้อยู่ไกล และไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าให้เหนื่อยยาก เพราะแท้จริงความสุขนั้นมีอยู่กับเราในขณะนี้แล้ว นั่นคือการที่คนรักยังอยู่กับเรา และให้โอกาสแก่เราได้ทำความดีกับเขาอย่างเต็มที่ อย่ามองข้ามความสุขอย่างนี้ และอย่าปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือเราไป
    :- https://visalo.org/article/secret255301.htm
    . . EndLineMoving.gif


     

แชร์หน้านี้

Loading...